ใครขโมยความฝันของลูกคุณ
ถ้าลูกมีความฝัน ลูกก็ต้องปกป้องมัน
อย่ายอมให้ใครแม้แต่คนเดียวมาทำลายความฝันของลูก...แม้แต่พ่อก็เถอะ!
จะมีพ่อแม่คนไหนหนอสอนลูกแบบที่พ่อใน The Pursuit of Happiness สอนลูกบ้าง
ตอนเด็กๆคุณเคยมีความฝันมั้ย
_ฝันอยากเป็นหมอ เป็นพยาบาล
_ฝันอยากเป็นทหาร เป็นตำรวจ
_ฝันอยากขับจรวดไปนอกโลก
_ฝันอยากอยู่ในโลกนางงาม เป็นนางแบบ
_ฝันอยากเสียงแหบเป็นนักร้อง เป็นดารา
_ฝันอยากซ่าไปปีนเขา เมาทะเล
_ฝันเท่ห์ๆอยากรวยร้อยล้าน
ฝันต่างๆนาๆ ฝันนั้นมันมีความสุข
แล้วตอนนี้...ฝันนั้นมันหายไป ใครกันหรือคือ "คนขโมยฝัน"
เมื่อสัปดาห์ก่อนแววไปเป็นวิทยากร เป็นโค้ชสร้างฝัน สร้างแรงบรรดาลใจให้น้องๆ ม.5 จำนวนกว่าร้อยคน
ในช่วงกิจกรรมแชร์ฝัน เราขออาสาสมัครจำนวน 5 คนออกมาเล่าความฝันของตัวเองให้เพื่อนๆ และคุณครูได้ฟังกัน
เก๋ คือน้องคนแรกที่อาสา
เก๋เล่าความฝันของตัวเองด้วยสีหน้าเรียบๆ ไม่ตื่นเต้นนักว่าเธออยากเป็นหมอ แล้วเธอก็เงียบไป เราจึงถามด้วย "WHY" เพื่อกระตุ้นสมองส่วนคล้ายสัญชาตญาณ เพื่อช่วยเธอ
เก๋ตอบว่า เพราะพี่ชายเธอเป็นหมอ พ่อกับแม่ก็อยากให้เธอเป็นหมอ
เราจึงตั้งคำถามต่อว่า แล้วถ้าตัดเรื่องพี่ชายเรื่องความต้องการของพ่อกับแม่ออก เธอชอบและมีความสุขกับการทำอะไร
สีหน้าและแววตาเก๋เปลี่ยนไป ดูสุขสดชื่นขึ้นเมื่อถามถุงความฝันของเธอจริงๆ เธอบอกว่าเธอชอบเล่นดนตรีและวาดภาพ เธอมีความสุขกับการทำสองสิ่งนี้มาก
แล้วทำไมเก๋ไม่เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบคะ แววตาของเธอเปลี่ยนไปอีกครั้งแล้วบอกว่า พ่อกับแม่บอกว่าจะเอาอะไรกิน แล้วเธอก็จบบทสนทนา
เอคือน้องคนที่ถัดมา
เธออยากเป็นหลายอย่างมากๆ ตอนเธอเล่าว่าอยากขับเครื่องบิน อยากทำงานการบิน อยากไปหิมาลัย อยากๆๆๆ สีหน้าและแววตาเธอมีความสุขมากมาย เธอไม่ได้พูดถึงพ่อแม่ เธอไม่ได้พูดถึงคุณครู เธอบอกว่าเธอจะทำฝันเธอให้เป็นจริง
ต้อมออกมาเล่าด้วยสีหน้าจริงจังว่าเธอชอบการแสดง เธออยากเป็นดารา แต่เธอว่าเธอจะไปเรียนบริหาร เราเลยถามว่าทำไมเธอไม่เลือกเรียนนิเทศน์ เธอบอกว่าครอบครัวบอกว่าเธอควรเรียนบริหาร ถามต่อว่าแล้วคุณครูว่าอย่างไร ครูบอกเลือกที่คะแนนเธอเหมาะสมได้ก็ดี
คุณรู้สึกอย่างไรบ้างจากทั้งสามตัวอย่าง คุณคิดว่าเด็กคนไหนจะเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข ประสบความสำเร็จ และสร้างคุณค่าต่อสังคมมากที่สุด
และคุณคิดว่าใครเป็นคนที่ดับฝันของพวกเค้า
หรือใครกันที่ยัดเยียดความฝันของตัวเองให้พวกเค้ากันเล่า
นึกย้อนกลับไปในอดีตเมื่อครั้งยังเด็ก ยังไม่มีกรอบความคิด ความคาดหวังต่างๆนาๆมาแทนที่ความฝัน เรามีความสุข แต่หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตในแบบที่พ่อแม่อยากได้ ที่ครูบอกว่าเหมาะสม ที่สังคมบอกว่าร่ำรวย และแล้วความฝันและความสุขก็หายไป...เนิ่นนานเท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว
หลังจากที่แววเขียนเรื่องนี้ลงบนเฟสบุ๊คส่วนตัว มีคุณแม่หลายคนเข้ามานั่งปรึกษา (และระบาย) ว่าจริงๆแล้วก็รู้ตัวนะว่าเป็นคนดับฝันลูก แต่นั่นเป็นเพราะ.....บลาๆๆๆๆ สารพัดเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น
ถามสั้นๆ
_คุณรักตัวเองหรือรักลูก
_คุณอยากให้ตัวคุณเองมีความสุข หรืออยากให้ลูกมีความสุข
_คุณใส่ใจ ให้เวลากับความฝันของลูกมากน้อยแค่ไหน
โดยสถิติแล้ว พ่อแม่ที่เห็นที่ผ่านโลกกว้างมามากก็จะให้คำแนะนำลูกได้ดีกว่า
คำถามคือ คุณคิดว่าคุณผ่านโลกมากว้างแค่ไหน
คุณอาจจะบอกว่า ความฝันมันกินไม่ได้ แต่สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆที่มีชื่อเสียงในโลกทั้งที่กินได้และกินไม่ได้ก็เกิดจากความฝันทั้งหมดทั้งสิ้น
ถ้าพี่น้องตระกูลไรท์ไม่ฝันที่จะบิน เราคงไม่มีเครื่องบินนั่งกันในวันนี้
ถ้าคุณลุงเคนตั๊กกี้ละทิ้งความฝันความรักในไก่ทอดในวันนั้น เราคงไม่มีไก่ KFC อันแสนโอชะกินในวันนี้
เมื่อ "ความฝัน" สวยงาม สิ่งที่ตามมาที่พ่อแม่หรือครูควรจะช่วยเด็กสร้างก็คือ "ความเชื่อ"
เชื่อว่าลูกจะทำได้ ทำมันสำเร็จ และเชื่อว่าเราจะสนับสนุนลูกได้แน่นอนด้วย
เมื่อเด็กมีความเชื่อ เด็กก็จะลงมือทำอย่างสุดจิตสุดใจ
ผลลัพธ์ที่ออกมามันก็จะยอดเยี่ยมอย่างน่าอัศจรรย์
ลูกมีความสุข พ่อแม่มีความสุข สังคมมีแต่คนมีความสุข คนมีคุณภาพ เพราะทุกคนทำตามความฝัน ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
แต่หากคุณคิดว่าจนถึงบัดนี้ คุณมีความรับผิดชอบ มีหน้าที่ที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้ ถามตัวเองว่างานอดิเรกใดที่สามารถที่จะเป็นส่วนหนึ่งของความฝันของคุณ ที่จะทำให้บางช่วงบางตอนของชีวิตคุณมีความหมาย มีคุณค่า มีความสุข และมีอิสรภาพ
และที่สำคัญ อย่าดูถูกความฝันของคนอื่น เพราะอาจเป็นเพียงแค่สิ่งเดียวที่มีความสุขที่เค้าเหลืออยู่ในชีวิตนี้ก็เป็นได้
ขอความฝัน จงอยู่กับทุกท่าน
จากประสปการณ์ตรง และบางช่วงบางตอนของหนังสือ The Pursuit of Happiness
แววยินดีมากหากพ่อแม่ท่านใด หรือเด็กๆคนไหนสนใจอยากพูดคุยปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้นะคะ
Line ID: waew_orawan
FB: Orawan Promsorn
Opmerkingen