top of page

นักจิตวิทยาแนะนำ 5 เทคนิคในการเลี้ยงลูกให้สุขภาพจิตดี อย่างมีความสุข

Updated: Jan 21

iSTRONG นักจิตวิทยาแนะนำ 5 เทคนิคในการเลี้ยงลูกให้สุขภาพจิตดี อย่างมีความสุข

จากข่าวความรุนแรงในครอบครัวที่รุนแรงและน่ากลัวหลาย ๆ ข่าวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยของเรามีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข โดยอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (นางจินตนา จันทร์บำรุง) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไทยตอนหนึ่งว่า


สถิติความรุนแรงในครอบครัว ระหว่างเดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2564 มีจำนวนผู้ถูกกระทำ 2,177 ราย โดยเพศชายเป็นผู้กระทำ 86% และ 65% ในนั้นเป็นผู้ที่ไม่เคยกระทำความรุนแรงในครอบครัวมาก่อน ทางด้านผู้ถูกกระทำเป็นเพศหญิง 81% โดยช่วงอายุที่ถูกทำร้ายมากที่สุด คือ ช่วงวัยกลางคน (อายุ 36 - 59 ปี) 34% ซึ่งส่วนใหญ่จะความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา 41% ป็นการทำร้ายร่างกายมากที่สุด 64% รองลงมาคือ ทำร้ายจิตใจ 32% และเรื่องเพศ 4%


โดยความรุนแรงมักจะเกิดขึ้นสูงสุดในบ้าน 88% อีกทั้งพบว่าความรุนแรงต่อเด็กยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงจะก่อความรุนแรงในอนาคต หรือพูดง่าย ๆ ว่า ความรุนแรงในบ้านเป็นการบ่มเพาะอาชญากร หรือฆาตรกรในอนาคตนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีของลูกรัก และเลี้ยงดูลูกรักอย่างมีความสุข จึงขอนำเทคนิคจิตวิทยาในการเลี้ยงลูกให้สุขภาพจิตดี อย่างมีความสุขมาฝากกันค่ะ


1. ปกป้องลูกตามวัยและตามสมควร

เทคนิคแรกที่นักจิตวิทยาแนะนำในการเลี้ยงลูกให้สุขภาพจิตดี อย่างมีความสุข ก็คือ การปกป้องลูกอย่างเหมาะสมค่ะ โดยเน้นการปกป้องตามวัยเป็นหลัก เช่น ในวัยทารกก็เน้นการตอบสนองตามความต้องการของลูกเป็นหลัก หิวก็ป้อน ง่วงก็กล่อมหลับ หรือในวัยเด็กต้องพยายามดูแลความปลอดภัยของชีวิตเป็นหลัก เพราะเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเขา แถมยังซุกซน และไม่รู้ว่าสิ่งใดอันตราย สิ่งใดปลอดภัย


แต่เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น การปกป้องจะเปลี่ยนจากทางกายเป็นทางจิตใจและสังคมเป็นหลัก เพราะลูกรับรู้ความรู้สึกของตนเองชัดเจน และกำลังก่อร่างอัตลักษณ์ส่วนตนให้เป็นรูปเป็นร่าง จึงต้องการการสนับสนุนทางจิตใจและสังคมอย่างมาก เป็นต้น หากเราสามารถปกป้องลูกได้อย่างเหมาะสม เราจะเป็น Safe Zone ที่ดีเยี่ยมของลูก และลูกจะมีความมั่นใจ มีความภาคภูมิใจในตนเอง และมีความเข้มแข็งทางจิตใจค่ะ


2. ส่งเสริมพัฒนาการตามวัย และทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิต

เทคนิคจิตวิทยาต่อมา ก็คือ การส่งเสริมพัฒนาการตามวัยและทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิต โดยการ ส่งเสริมพัฒนาการตามทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ ซึ่งมีหลากหลายทฤษฎีค่ะ เช่น ทฤษฎี Psychosexual developmental stage ของ Freud ทฤษฎี Cognitive Theories ของ Piaget แต่ทฤษฎีที่เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กมากที่สุด คือ ทฤษฎี Psychosocial development ของ Erikson ค่ะ โดยแบ่งพัฒนาการของคนเราเป็น 8 ขั้น ได้แก่

  • ขั้นที่ 1 ระยะทารก (Infancy period) อายุ 0-2 ปี : ขั้นไว้วางใจและไม่ไว้วางใจผู้อื่น (Trust vs Mistrust)


  • ขั้นที่ 2 วัยเริ่มต้น (Toddler period) อายุ 2-3 ปี : ขั้นที่มีความเป็นอิสระกับความละอายและสงสัย (Autonomy vs Shame and doubt)


  • ขั้นที่ 3 ระยะก่อนไปโรงเรียน (Preschool period) อายุ 3-6 ปี : ขั้นมีความคิดริเริ่มกับความรู้สึกผิด (Initiative vs Guilt)


  • ขั้นที่ 4 ระยะเข้าโรงเรียน (School period) อายุ 6-12 ปี : ขั้นเอาการเอางานกับความมีปมด้อย (Industry vs Inferiority)


  • ขั้นที่ 5 ระยะวัยรุ่น (Adolescent period) อายุ 12-20 ปี : ขั้นการเข้าใจอัตลักษณะของตนเองกับไม่เข้าใจตนเอง (Identity vs role confusion)


  • ขั้นที่ 6 ระยะต้นของวัยผู้ใหญ่ (Early adult period) อายุ 20-40 ปี : ขั้นความใกล้ชิดสนิทสนมกับความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว (Intimacy vs Isolation)


  • ขั้นที่ 7 ระยะผู้ใหญ่ (Adult period) อายุ 40-60 ปี : ขั้นการอนุเคราะห์เกื้อกูลกับการพะว้าพะวงแต่ตัวเอง (Generativity vs Self-Absorption)


  • ขั้นที่ 8 ระยะวัยสูงอายุ (Aging period) อายุประมาณ 60 ปีขึ้นไป : ขั้นความมั่นคงทางจิตใจกับความสิ้นหวัง (Integrity vs Despair)


3. ส่งเสริมความเข้าอกเข้าใจตนเองและผู้อื่น

การส่งเสริมให้เด็ก ๆ มี “ความเข้าอกเข้าใจ” หรือ Empathy จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจที่ดีเมื่อลูกของเราต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน หรือถูก Bully เพราะเมื่อลูกมีความเข้าอกเข้าใจในตนเอง เขาจะมองสถานการณ์อย่างเป็นกลาง ไม่ตอกย้ำซ้ำเติมตนเองเข้าไปอีก


จะเรียนรู้การเยียวยาความรู้สึกตนเอง ไม่ให้เสียสุขภาพจิตไปกว่าเดิม และหากพบเห็นผู้อื่นที่ตกอยู่ในความลำบาก หรือถูกทำร้ายจิตใจ ลูกของเราก็จะใจดีมากพอที่จะช่วยเหลือ หรือปลอบใจ ส่งเสริมกำลังใจให้แก่ผู้อื่น โดยเทคนิค การส่งเสริม Empathy ให้แก่ลูกของเรา นักจิตวิทยาก็ได้แนะนำไว้ 5 วิธีด้วยกัน ได้แก่

  • ให้ความรักกับลูกอย่างเต็มที่

  • สอนให้ลูกรู้จักการให้

  • สอนให้ลูกคิดถึงคนอื่น

  • สอนให้คิดยืดหยุ่น

  • สอนให้เด็ก ๆ เปิดกว้าง


4. ส่งเสริมอารมณ์ทางบวก และความมั่นคงทางอารมณ์

“ความมั่นคงทางอารมณ์” เป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตในปัจจุบันมากค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นตัวบ่งชี้ความฉลาดทางอารมณ์แล้ว (Emotional Quotient ; EQ) ยังเป็นตัวเสริมสร้างวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่เหมาะสมตามวัย เมื่อลูกต้องเจอสถานการณ์กดดันทางความรู้สึก หรือถูกบีบคั้น ทำร้ายความรู้สึก


ลูกของเราจะสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสม ไม่เกรี้ยวกราด เหวี่ยงวีน และยังสามารถรักษาความรู้สึกของตัวเองไว้ได้อีกด้วย โดยนักจิตวิทยาก็ได้แนะนำเทคนิคในการส่งเสริม EQ ไว้ดังนี้ค่ะ

  • ส่งเสริมให้เด็กรู้เท่าทันตัวเอง (Self - awareness)

  • สอนให้จัดการกับอารมณ์อย่างเหมาะสม (Self - management)

  • ส่งเสริมด้านการเรียนรู้สังคมและอารมณ์ที่เหมาะสม (Social awareness)

  • สร้างทักษะด้านความสัมพันธ์ที่เหมาะสมตามวัย (Relationship skills)

  • รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือก (Responsible decision making)


5. ส่งเสริมให้ลูกช่วยเหลือตัวเองตามวัย

การส่งเสริมให้ลูกช่วยเหลือตนเองตามวัย ก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของลูกอย่างมาก เพราะไม่วันใดก็วันหนึ่งเมื่อเขาโตขึ้น เขาจะต้องอยู่ให้ได้ด้วยตนเอง อีกทั้งเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนอกบ้าน ต้องไปอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม ด้วยเหตุนี้ลูกของเราจึงจำเป็นต้องมีทักษะในการเอาตัวรอด และอยู่ได้ด้วยตนเอง


เช่น ทักษะการทำความสะอาดบ้าน ทักษะการทำอาหาร ทักษะการครัว ทักษะงานบ้าน งานเรือน เป็นต้น วิธีการฝึกก็สามารถทำได้โดยการมอบหมายงานบ้านให้ลูกรับผิดชอบตามช่วงวัย โดยเราต้องช่วยลูกทำด้วยนะคะ เพื่อไม่ให้ลูกเกิดความรู้สึกว่าถูกพ่อ แม่เอาเปรียบ แล้วลูกจะมีทักษะการเอาตัวรอดยามที่เขาจำเป็นต้องใช้ค่ะ

การเลี้ยงลูกให้ดีเป็นเรื่องจำเป็น แต่การเลี้ยงลูกให้ลูกมีความสุข และมีสุขภาพจิตที่ดีเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ เพราะลูกเราคืออนาคตของชาติ ส่วนพ่อ แม่ อย่างเราคือผู้สร้างอนาคตให้ลูกค่ะ


iSTRONG ยินดีให้บริการ ปรึกษาด้านสุขภาพจิตโดยผู้เชี่ยวชาญ ทั้งจากจิตแพทย์และนักจิตวิทยา ดูรายละเอียดได้ที่นี่

 

iSTRONG Mental Health

ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร


บริการของเรา

สำหรับบุคคลทั่วไป

• บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa

• คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS


สำหรับองค์กร

• EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8


โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong

 

บทความแนะนำ :

[1] 3 เทคนิคการเลี้ยงลูกให้สุขภาพจิตดี ตามคำแนะนำของนักจิตวิทยา (https://www.istrong.co/single-post/3-techniques-for-raising-children-to-be-good-people)

[2] 12 สัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังเป็นพ่อแม่ที่เป็นพิษ(https://www.istrong.co/single-post/toxic-parent)


อ้างอิง :

[1] พะยอม อิงคตานุวัฒน์. 2550. ตำราจิตเวชเด็กและวัยรุ่น เล่ม 2. กรุงเทพฯ : บริษัท ธนาเพรส จำกัด. หน้า 3 – 6.

[2] ศูนย์ปฏิบัติการกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว. ตุลาคม 2564. สถิติความรุนแรง ในครอบครัว ประจำปีงปบระมาณ 2564. กรุงเทพฯ : กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์.

[3] สำนักข่าวไทย. 21 ตุลาคม 2564. สถิติความรุนแรงในครอบครัว ช่วงโควิดพุ่งสูงเฉลี่ย 200 เรื่อง/เดือน. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 11 เมษายน 2565 จาก https://tna.mcot.net/social-808024

[4] PPTV Online. 12 พฤศจิกายน 2564. เผยสถิติ 16 ปีที่ มีการใช้ความรุนแรงกับเด็กมากกว่า 1,300 ราย และมีการทำร้ายอย่างต่อเนื่อง. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 11 เมษายน 2565

 

ประวัติผู้เขียน : จันทมา ช่างสลัก บัณฑิตสาขาวิชาเอกจิตวิทยาคลินิก เกียรตินิยมอันดับ 2 จากรั้ว มช. และมหาบัณฑิตด้านการพัฒนาสังคม NIDA มีประสบการณ์ด้านจิตวิทยาเด็ก 4 ปี เป็นผู้ช่วยนักวิจัย ด้านจิตวิทยา 1 ปี ปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ และคุณแม่ของลูก 1 คน แมว 1 ตัว ที่ประยุกต์ใช้ศาสตร์ทางจิตวิทยาในการใช้ชีวิต


iSTRONG ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิต Solutions ด้านสุขภาพจิต ให้คำปรึกษาโดยนักจิตวิทยา นักจิตบำบัด นักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบรับรอง รวมถึงบทความจิตวิทยา

© 2016-2025 Actualiz Co.,Ltd. All rights reserved.

contact@istrong.co                     Call 02-0268949

  • Facebook Social Icon
  • YouTube Social  Icon
  • Instagram
  • Twitter
bottom of page