พูดตรงหรือทำร้ายจิตใจ? วิธีตรวจสอบคำพูดของคุณในฐานะผู้นำ
"ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องให้บอกตลอด?"
"มันไม่ได้ยากขนาดนั้น"
"เรื่องนี้รับไม่ได้—แก้ไขเดี๋ยวนี้!"
ประโยคเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นแค่การให้ข้อมูลย้อนกลับหรือ feedback ที่ตรงไปตรงมาและไม่มีอะไร แต่มันสามารถทิ้งรอยแผลที่ฝังลึกที่ทำร้ายจิตใจของพนักงานได้ โดยเฉพาะพนักงานบางคนที่อ่อนไหวง่ายต่อคำพูดของคนอื่น (และมักไม่แสดงออกมาให้เห็น) ในฐานะผู้นำหรือหัวหน้างาน คำพูดของคุณมีอิทธิผลสูง มันสามารถสร้างแรงบันดาลใจ แต่ก็สามารถทำร้ายจิตใจได้เช่นกัน ผู้นำมักอ้างว่าการใช้ภาษาที่รุนแรงเป็น "การผลักดันผลงาน" แต่ในความเป็นจริง การสื่อสารแบบนี้เสี่ยงที่จะสร้างความกลัว ความขุ่นเคือง ความเครียด และภาวะหมดไฟในที่สุด
บทความนี้จะสำรวจวิธีที่ผู้นำสามารถสังเกตและเปลี่ยนแปลงการสื่อสารที่อาจเผลอทำร้ายจิตใจ พร้อมเสนอขั้นตอนที่นำไปปฏิบัติได้จริงในการนำด้วย Empathy หรือความเห็นอกเห็นใจโดยไม่เสียงาน
ผลกระทบที่ซ่อนอยู่ของคำพูดในการเป็นผู้นำ
การสื่อสารเป็นรากฐานของความเป็นผู้นำ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าวิธีที่ผู้นำพูดส่งผลโดยตรงต่อขวัญกำลังใจ ความผูกพัน และการทำงานของพนักงาน แต่นี่คือความท้าทาย สิ่งที่คุณรู้สึกว่า "ตรงไปตรงมา" อาจถูกมองว่าเป็นการดูถูกหรือลดคุณค่าในมุมมองของพนักงาน
ทำไมผู้จัดการบางครั้งจึงใช้คำพูดที่ทำร้ายจิตใจ?
ความเครียดและแรงกดดัน: สภาพแวดล้อมที่มีแรงกดดันสูงสามารถผลักดันให้ผู้จัดการมุ่งเน้นแต่ผลลัพธ์ โดยละเลยความละเอียดอ่อน
บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม: ที่ทำงานบางแห่งทำให้การสื่อสารที่ตรงหรือรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติภายใต้ข้ออ้างเรื่องประสิทธิภาพ
การขาดความตระหนัก: ผู้นำหลายคนไม่ตระหนักว่าคำพูดของพวกเขาส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไร—พวกเขาคิดว่าเจตนาสำคัญกว่าการตีความ
อย่างไรก็ตาม การสื่อสารที่ทำร้ายจิตใจสามารถมีผลที่ไม่คาดคิด เช่น
ขวัญกำลังใจพนักงานลดลง
อัตราการลาออกเพิ่มขึ้น
สูญเสียความไว้วางใจและความปลอดภัยทางจิตใจ
ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมลดลงเนื่องจากความกลัวความล้มเหลว
10 ตัวอย่างคำพูดที่ผู้นำมักใช้ แต่อาจเหมือนดาบสองคม
ผู้นำมักตั้งใจที่จะสร้างแรงจูงใจให้ทีม แต่โดยไม่รู้ตัวกลับใช้คำพูดที่อาจทำลายขวัญกำลังใจ นี่คือ 10 ตัวอย่างของประโยคที่มุ่งผลักดันผลงานซึ่งอาจถูกมองว่าทำร้ายจิตใจ พร้อมทางเลือกที่อ่อนโยนและสร้างสรรค์กว่า
1. "คุณทำไม่ได้ตามที่คาดหวัง"
ทำไมจึงทำร้ายจิตใจ: คลุมเครือและฟังดูเหมือนกล่าวหา ทำให้พนักงานไม่แน่ใจว่าจะปรับปรุงอย่างไร
ทางเลือกที่ดีกว่า: "มาทบทวนความคืบหน้าและพูดคุยถึงด้านเฉพาะที่เราสามารถลดช่องว่างระหว่างความคาดหวังกับผลงานปัจจุบันกัน"
2. "คุณช้าเกินไป ต้องตามให้ทัน"
ทำไมจึงทำร้ายจิตใจ: แปะป้ายในแง่ลบให้พนักงานและมุ่งเน้นสิ่งที่พวกเขาขาดแทนที่จะช่วยให้พัฒนา
ทางเลือกที่ดีกว่า: "เราจะปรับปรุงขั้นตอนการทำงานหรือขจัดอุปสรรคอย่างไรเพื่อให้คุณส่งงานตามกำหนดได้สบาย ๆ ขึ้น"
3."แค่นี้ยังไม่ดีพอ"
ทำไมจึงทำร้ายจิตใจ: ปฏิเสธความพยายามของพนักงานทั้งหมด ซึ่งอาจทำลายแรงจูงใจ
ทางเลือกที่ดีกว่า: "คุณทำได้ดีมากในส่วนของ [ระบุส่วน] แต่เราต้องปรับแต่ง [ระบุด้าน] เพื่อให้แน่ใจว่าตรงตามข้อกำหนด"
4. "หาทางแก้เอาเอง มันเป็นงานของคุณ"
ทำไมจึงทำร้ายจิตใจ: ปิดกั้นการทำงานร่วมกันและทำให้พนักงานรู้สึกไม่ได้รับการสนับสนุน
ทางเลือกที่ดีกว่า: "มาช่วยกันระดมความคิดหาทางแก้ไขเพื่อให้คุณจัดการความท้าทายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
5. "ถ้าคุณรับมือกับเรื่องนี้ไม่ได้ บางทีนี่อาจไม่ใช่ตำแหน่งที่เหมาะกับคุณ"
ทำไมจึงทำร้ายจิตใจ: คุกคามความมั่นคงในงาน ทำให้เกิดความวิตกกังวลและถอยห่าง
ทางเลือกที่ดีกว่า: "มาคุยกันว่าอะไรทำให้เรื่องนี้ยากและหาวิธีที่จะจับคู่จุดแข็งของคุณกับบทบาทให้ดีขึ้น"
6. "ทำไมพี่ต้องคอยเตือนเธอตลอด"
ทำไมจึงทำร้ายจิตใจ: บ่งบอกว่าไร้ความสามารถและบั่นทอนความมั่นใจ
ทางเลือกที่ดีกว่า: "มาระบุว่าอะไรทำให้เกิดการขาดตอนเพื่อเราจะได้สร้างระบบที่รับประกันความสม่ำเสมอต่อไป"
7. "นี่มันงานง่ายๆ ทำไมทำให้ถูกไม่ได้?"
ทำไมจึงทำร้ายจิตใจ: ดูถูกพนักงานและไม่ยอมรับความยากลำบากของพวกเขา
ทางเลือกที่ดีกว่า: "มาเดินผ่านขั้นตอนนี้ด้วยกันเพื่อระบุว่าความท้าทายอยู่ตรงไหนและเราจะจัดการมันอย่างไร"
8. "ฉันไม่สนว่าคุณจะทำยังไง ขอแค่ให้เสร็จ"
ทำไมจึงทำร้ายจิตใจ: ไม่ใส่ใจความเป็นอยู่ของพนักงานและให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ
ทางเลือกที่ดีกว่า: "มาวางแผนที่เป็นไปได้จริงว่าคุณจะทำงานนี้ให้สำเร็จอย่างไร และพูดคุยว่าต้องการการสนับสนุนอะไรบ้างเพื่อความสำเร็จ"
9. "คุณควรจะรู้วิธีทำงานนี้แล้ว"
ทำไมจึงทำร้ายจิตใจ: ทำให้พนักงานอับอายที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังที่ไม่ได้พูดออกมา
ทางเลือกที่ดีกว่า: "มาทบทวนขั้นตอนด้วยกันเพื่อให้คุณเข้าใจกระบวนการชัดเจนสำหรับงานต่อไป"
10. "คุณต้องเข้มแข็งขึ้นและเลิกหาข้ออ้างได้แล้ว"
ทำไมจึงทำร้ายจิตใจ: ไม่ใส่ใจความรู้สึกและความท้าทายของพนักงานโดยไม่เสนอความช่วยเหลือ
ทางเลือกที่ดีกว่า: "พี่เข้าใจว่านี่เป็นเรื่องท้าทาย มาช่วยกันระบุสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาและหาทางแก้ไขไปด้วยกัน"
ทางเลือกเหล่านี้ช่วยอย่างไร
ประโยคทางเลือกมุ่งเน้นที่
1. การทำงานร่วมกัน (Collaboration): แสดงให้พนักงานเห็นว่าพวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยวในการแก้ปัญหา
2. ความเฉพาะเจาะจง (Specificity): ให้ข้อมูลย้อนกลับที่นำไปปฏิบัติได้แทนการวิจารณ์แบบคลุมเครือ
3. ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy): ยอมรับความพยายาม อารมณ์ความรู้สึก และความท้าทายของพนักงาน
4. การสนับสนุน (Support): เสนอการช่วยเหลือ คำแนะนำ หรือการระดมความคิดเพื่อช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ
ด้วยการนำวิธีการที่ผ่านการพิจารณาไตร่ตรองเหล่านี้มาใช้ ผู้นำยังสามารถผลักดันผลงานในขณะที่สร้างความไว้วางใจ ขวัญกำลังใจ และความผูกพัน คำพูดที่ยกระดับจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
วิธีตรวจสอบและปรับคำพูดของคุณ
นี่คือห้าขั้นตอนเพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารของคุณผลักดันผลงานในขณะที่รักษาความเคารพและความเห็นอกเห็นใจ
1. ฝึกการตระหนักรู้ตนเอง
ก่อนพูด พิจารณาสภาวะอารมณ์ของคุณ คุณกำลังหงุดหงิดหรือเครียดหรือไม่? อารมณ์เหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้าไปในน้ำเสียง ทำให้ข้อความของคุณรุนแรงกว่าที่ตั้งใจ
หายใจลึก ๆ และหยุดชั่วครู่ก่อนให้ข้อมูลย้อนกลับ
ถามตัวเอง: "ฉันกำลังตอบสนองต่อสถานการณ์หรือกำลังตอบด้วยสติที่ผ่านการไตร่ตรอง?"
2. เปลี่ยนจากการวิจารณ์เป็นการโค้ช
ข้อมูลย้อนกลับควรชี้แนะพนักงานไปสู่การพัฒนา ไม่ใช่ทำลายพวกเขา แทนที่การตำหนิและความเป็นลบด้วยข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์
แทนที่จะพูดว่า: "คุณทำไม่ได้ตามที่คาดหวัง"
ลองพูดว่า: "นี่คือจุดที่เราต้องปรับปรุงและวิธีที่ผม/ดิฉันจะช่วยคุณได้"
3. ใช้ประโยค "ฉัน" (I message)
มุ่งเน้นที่งานหรือพฤติกรรม ไม่ใช่ตัวบุคคล วิธีนี้ช่วยลดการป้องกันตัวและส่งเสริมการแก้ปัญหา
แทนที่จะพูดว่า: "คุณทำพลาดแบบนี้ตลอด"
ลองพูดว่า: "ผม/ดิฉันสังเกตว่าส่วนนี้ไม่เป็นไปตามแผน มาช่วยกันหาวิธีปรับปรุงกันดีกว่า"
4. สร้างสมดุลระหว่างข้อมูลย้อนกลับที่ตรงไปตรงมากับการสนับสนุน
ความรับผิดชอบไม่ได้หมายถึงการพูดรุนแรง วางกรอบข้อมูลย้อนกลับในบริบทของความใส่ใจและการสนับสนุน
ยอมรับข้อดีก่อนพูดถึงความท้าทาย: "คุณทำงานได้ดีมากในเรื่อง X ตอนนี้มาโฟกัสที่การพัฒนาเรื่อง Y กัน"
จบด้วยโน้ตแห่งความร่วมมือ: "ผม/ดิฉันจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในด้านนี้ได้อย่างไร?"
5. ตรวจสอบความหมายที่ชัดเจนและน้ำเสียง
การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาสามารถพูดในแบบสุภาพอ่อนโยนได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าน้ำเสียงของคุณสะท้อนความเป็นมืออาชีพและความเคารพ
หลีกเลี่ยงวลีที่อาจถูกตีความว่าเป็นการเสียดสีหรือดูถูก
ใช้ภาษาที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงเพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิด: "ผม/ดิฉันคิดว่าเราต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมในรายงานนี้" ดีกว่า "นี่มันลวก ๆ "
กรณีศึกษา
เปลี่ยนคำพูดให้เป็นความสำเร็จ
สถานการณ์
เจตนัย ผู้จัดการสายงานในบริษัทเทคโนโลยี เป็นที่รู้จักในสไตล์การสื่อสารแบบ "ไม่อ้อมค้อม" หลังจากพลาดกำหนดส่งงาน เขาบอกสมาชิกในทีมว่า "เลิกเถลไถลไร้สาระและกลับไปจัดการให้จบเดี๋ยวนี้" พนักงานที่อยู่ภายใต้แรงกดดันอยู่แล้ว กลายเป็นหมดแรงจูงใจและถอยห่าง หลีกเลี่ยงเจตนัยและสูญเสียความมั่นใจในความสามารถของตัวเอง
การสะท้อนความคิดของเจตนัย
ผ่านข้อมูลย้อนกลับจาก HR และการอบรมเชิงปฏิบัติการ Empathic Leadership เจตนัยตระหนักว่าคำพูดของเขาไม่เกิดผลดี เขาเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนการให้ฟีดแบกของตน
วิธีการที่ปรับปรุงแล้ว
แทนที่จะตำหนิ เจตนัยเข้าหาพนักงานด้วยคำพูดว่า: "พี่เข้าใจว่ากำหนดส่งงานนี้ยากมาก มาช่วยกันหาสาเหตุของความล่าช้าและวิธีแก้ไขสำหรับครั้งหน้ากัน"
ผลลัพธ์
พนักงานรู้สึกได้รับการสนับสนุนและมีแรงจูงใจที่จะพัฒนา สร้างความไว้วางใจขึ้นใหม่และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
ทำไมความเห็นอกเห็นใจจึงสำคัญในการสื่อสารของผู้นำ
ผู้นำที่สื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจจะสร้างความไว้วางใจ ความจงรักภักดี และความปลอดภัยทางจิตใจ พนักงานมีแนวโน้มที่จะรับผิดชอบต่อผลงานของตนเองมากขึ้นเมื่อพวกเขารู้สึกได้รับความเคารพและเห็นคุณค่า
ประโยชน์ของ Empathy ในการเป็นผู้นำ
Engagement ที่แข็งแกร่งขึ้น: พนักงานที่รู้สึกว่าได้รับการรับฟังและให้เกียรติจะทุ่มเทให้กับงานมากขึ้น
ผลงานที่ดีขึ้น: การเสริมแรงทางบวกและคำแนะนำที่ชัดเจนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
ความขัดแย้งลดลง: การสื่อสารที่ผ่านการไตร่ตรองช่วยลดความเข้าใจผิดและความตึงเครียด
บทบาทของการพัฒนาวิชาชีพในการสื่อสารของผู้นำ
การสื่อสารของผู้นำไม่ใช่แค่ soft skills แต่เป็นความสามารถทางวิชาชีพที่สามารถ และควรจะได้รับการฝึกฝน โปรแกรมอย่างเช่น หลักสูตรประกาศนียบัตรการให้คำปรึกษา หรือหลักสูตร Mental Health First-aid for Leaders สามารถช่วยผู้จัดการ
พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์เพื่อเข้าใจและควบคุมน้ำเสียงของตน
เรียนรู้เทคนิคการฟังอย่างเข้าใจเพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกัน
ค้นพบอคติที่ไม่รู้ตัวในรูปแบบการสื่อสารของตน
เรียนรู้เทคนิคการลดความตึงเครียดสำหรับการสนทนาที่ตึงเครียด
ด้วยการผสมผสานทักษะเหล่านี้ ผู้นำสามารถจัดให้คำพูดของตนสอดคล้องกับเจตนา เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาผลักดันผลงานโดยไม่ทำลายความสัมพันธ์
เครื่องมือปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการสื่อสารที่ทำร้ายจิตใจ
บันทึกและทบทวน: พิจารณาเกี่ยวกับข้อมูลย้อนกลับที่คุณให้ล่าสุด คำพูดของคุณชัดเจน สร้างสรรค์ และให้ความเคารพพนักงานหรือไม่?
Feedback Checklist รายการตรวจสอบการให้ข้อมูลย้อนกลับ: ก่อนพูด ถามตัวเอง ดังนี้
ฉันกำลังพูดถึงประเด็นปัญหา ไม่ใช่ตัวบุคคลใช่หรือไม่?
น้ำเสียงของฉันเป็นกลางและเป็นมืออาชีพหรือไม่?
ฉันได้เสนอแนวทางหรือการสนับสนุนหรือไม่?
ขอข้อมูลย้อนกลับ: ส่งเสริมให้ทีมของคุณแบ่งปันว่าพวกเขารับรู้การสื่อสารของคุณอย่างไร ใช้โอกาสนี้ในการเติบโต
คำพูดที่ช่วยสร้าง ไม่ใช่ทำลาย
ในฐานะผู้นำ คำพูดของคุณเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดของคุณ เมื่อใช้อย่างไตร่ตรอง มันสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเติบโต ความยืดหยุ่น และความจงรักภักดี แต่เมื่อใช้อย่างไม่ระมัดระวัง มันสามารถทำร้ายความสัมพันธ์และบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงาน
ด้วยการไตร่ตรองเกี่ยวกับการสื่อสารของคุณและการลงทุนในทักษะต่างๆ เช่น ทักษะที่สอนในหลักสูตรประกาศนียบัตรการให้คำปรึกษา คุณสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบความเป็นผู้นำของคุณ คุณจะไม่เพียงแต่บรรลุผลลัพธ์เท่านั้น แต่ยังสร้างที่ทำงานที่พนักงานรู้สึกมีคุณค่าและมีแรงจูงใจ
จำไว้ว่า ไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณพูดแต่เป็นวิธีที่คุณพูด เลือกคำพูดที่ช่วยสร้าง (กำลังใจ) ไม่ใช่ทำลาย
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
Opmerkingen