2 min read

8 ข้อคิดจิตวิทยาในการใช้ชีวิตคู่ จากภาพยนตร์ Fast & Feel Love

จากการได้ดูภาพยนตร์ไทยสไตล์แปลกใหม่ Fast & Feel Love ที่ลง Netflix เมื่อต้นเดือน อารมณ์ว่า ดูช้าแต่ดูนะ ซึ่ง Fast & Feel Love เป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงการประคับประคองชีวิตคู่ของคู่รักคู่หนึ่งที่การเดินตามความฝันของคนหนึ่ง ไปเป็นอุปสรรคในการเดินตามความฝันของอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้เกิดเรื่องราวโรแมนติก (?) คอมเมดี้ในภาพยนตร์ขึ้นมา ดิฉันผู้มีอายุอานามใกล้เคียงกับตัวละครหลักในภาพยนตร์ก็เกิดความถูกใจและขอนำไอเดียที่เกิดระหว่างชมภาพยนตร์มาเขียนบทความจิตวิทยาฝากทุกท่านเกี่ยวกับข้อคิดในการใช้ชีวิตคู่ 8 ข้อ ดังนี้ค่ะ

1. ใจดีกับคนรักแล้วอย่าลืมใจดีกับตัวเองด้วย

ใน Fast & Feel Love เจ ที่แสดงโดยคุณญาญ่า เป็นคนใจดีมาก รักน้ำ รักปลา แต่ไม่ค่อยรักตัวเองสักเท่าไร ทุ่มเทให้เกา ที่แสดงโดยคุณณัฐ กิจจริต หรือไฮโซแวน จากไวรัลดัง เดินตามความฝันของเกา จนวันหนึ่งที่อายุเข้าสู่วัย 30+ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าลืมทำตามความฝันของตัวเอง นั่นทำให้ยิ่งเจมองกลับไปก็พบว่าเธอไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเองเลย มีแต่ทำเพื่อเกา ซึ่งคนรักแบบเจพบได้เยอะมากในสังคมไทยค่ะ ฉันทำเพื่อเธอ เสียสละเพื่อเธอ จนถึงวันหนึ่งเราจะรู้สึกเหนื่อย เกิดคำถามกับตัวเองว่าฉันทำเพื่ออะไร ฉันเป็นอะไรในชีวิตเธอ ดังนั้นเมื่อเราใจดีกับคนรักแล้ว อย่าลืมใจดีกับตัวเองด้วยนะคะ ใส่ใจตัวเองบ้าง จะได้ไม่รู้สึกเหนื่อยเกินไปในเส้นทางความรัก

2. อย่าเสียสละมากจนรู้สึกถูกเอาเปรียบ

จากทีเซอร์ของ Fast & Feel Love ก็จะเห็นได้เลยค่ะว่าเจเป็นเดอะแบกในชีวิตคู่ของเธอกับเกา เพราะสิ่งเดียวที่เราเห็นว่าเกาทำ ก็คือ การทำลายสถิติโลกการเล่น cup stacking แต่ทางด้านเจนั้น นอกจากต้องไปทำงานนอกบ้านแล้ว ก็ยังต้องดูแลความเป็นอยู่ของ เกา ยังต้องทำงานบ้านมากมายสารพัดคนเดียว จนคนดูอย่างเรายังรู้สึกว่าเกินจะทน แต่ในชีวิตจริงก็มีคนรักแบบที่เดอะแบกในครอบครัวอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ และเมื่อเราแบกอะไรไปนาน ๆ เราก็จะหนัก และ “เท” ในที่สุด ก่อนจะไปถึงจุดที่เราไม่อยากไปต่อ ลองพูดคุย แบ่งงานในบ้านกับคนรักของเราดูนะคะ เราจะได้รู้สึกว่าเรามีคู่ชีวิตจริง ๆ

3. ความฝันของเรามีค่า ความฝันของคนรักของเราก็มีค่าไม่ต่างกัน

“ความฝัน” ในทางจิตวิทยามีค่าเท่ากับแรงจูงใจ หรือ Motivation ซึ่งขับเคลื่อนชีวิตของเราไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งในเรื่อง Fast & Feel Love เราจะเห็นชัดเจนว่า “ความฝัน” ของเกาเป็นแกนกลางของเรื่อง ประมาณว่าทุกสิ่งในจักรวาลของเกาหมุนรอบการทำลายสถิติโลกการเล่น cup stacking แต่ความฝันของเจ ของแม่เกา ของเอ็ดเวิร์ด หรือของใบหลิว กลับถูกละเลย ภาพยนตร์ก็ได้แสดงให้เห็นชัดว่าทุกคนมีความฝัน และมีความมุ่งมั่นในการทำตามความฝันไม่ต่างกัน แต่ที่ต่างกันคือการให้ความสำคัญ ว่าเราจะให้ความสำคัญกับเราเองเป็น No.1 หรือของคนที่เรารักเป็น No.1

4. รับฟังกันให้มากพอๆกับพูดคุยกัน

ฉากการใช้ “ชีวิตคู่” จริง ๆ จัง ๆ ของเจและเกา มีให้เห็นน้อยมากค่ะ ขนาดฉากพูดคุยกันยังไม่ค่อยจะมี และส่วนใหญ่จะเป็นเกาพูด ๆ และตัดบท โดยไม่รับฟังเจ จนเจต้องระเบิดออกมาแล้วก็กลายเป็นการทะเลาะกัน ซึ่งปัญหาการไม่คุยกัน การไม่รับฟังกัน เป็นปัญหาใหญ่มาก ๆ เลยค่ะของการใช้ชีวิตคู่ เพราะเมื่อมีความในใจแต่ไม่คุยกัน ก็จะเกิดภาวะ “คิดไปเอง” และเมื่อคิดไปเองบ่อยเข้า รอยร้าวในชีวิตคู่ก็จะมากขึ้น ๆ จนในที่สุดก็ยากจะประสาน และพังในที่สุด เพราะฉะนั้นหากอยากให้ชีวิตคู่ราบรื่นและไปต่อได้ไกล ขอให้ใช้เวลาในการพูดคุยและรับฟังกันให้มากขึ้นนะคะ

5. อย่าเก็บความทุกข์ใจไว้คนเดียว เดี๋ยวมันจะเป็นปัญหาใหญ่

ใน Fast & Feel Love ระยะทางความรักของเจและเกา เดินทางมาแล้วถึง 10 ปี ซึ่งอาจจะนานพอ ๆ กับระยะเวลาที่เจเก็บความทุกข์ไว้ในใจ เพราะเกาไม่มีเวลาให้เจเลย อยู่บ้านเดียวกัน อยู่ด้วยกัน แต่เหมือนเป็นเพื่อนร่วมบ้านมากกว่าคู่ชีวิต จนในหลาย ๆ ฉาก เราจะได้เห็นเจโทรหาเพื่อนสนิทเพื่อพูดคุยแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าง “มีร้านไอติมร้านโปรดมาเปิดแถวบ้านละ” “ไปดูหนังกันไหม” ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นเกาที่รับฟัง พูดคุยเรื่องเหล่านี้ และแน่นอนว่าเรื่องที่สร้างความทุกข์ใจอย่างมากให้กับเจ เจก็เก็บเอาไว้เพราะไม่อยากรบกวนเวลาซ้อมของเกา ทำให้ระเบิดออกมาทีเดียว และแตกหักกันไปเลย

6. ขอบคุณ ขอโทษ รักเธอนะ คือคำติดปากที่ต้องมี

คำพูดติดปากของเกาที่พูดกับเจ คือ “ขอบคุณครับ” แต่ไม่ได้มีความซาบซึ้งใด ๆ ในการพูดออกมา เพียงแต่พูดต่อท้ายประโยคที่จะไหว้วานให้เจทำให้ นั่นทำให้เจยิ่งพร้อมเก็บกระเป๋าออกจากบ้าน เพราะเกาไม่ใส่ใจอะไรเลย ดังนั้น ในการใช้ชีวิตคู่ให้ราบรื่นและมีความสุข เราจึงควรมีคำพูดประจำ ที่ต้องพูดให้ติดปาก และใส่ความรู้สึกในการพูด คือ ขอบคุณ ขอโทษ และหมั่นบอกรักเมื่อมีโอกาส เพราะคำเหล่านี้เป็นคำที่มีเวทมนตร์ หรือ Magic words ที่เมื่อเราพูดด้วยความจริงใจ คนฟังก็จะรู้สึกดีค่ะ

7. ใส่ใจเขาให้เท่าที่เขาใส่ใจเรา

ประโยคเด็ดของ Fast & Feel Love ก็คือ “ถ้าเรารักอะไรสักอย่างหนึ่ง เราจะไม่ปล่อยให้มันตาย” และ “ถ้าเรารักอะไรสักอย่างหนึ่งมากพอ มันจะพาเราไปในที่ที่ถูกที่ควร” นั่นเป็นการส่งสาส์นว่า ถ้าเรารักใคร หรือถ้าเรามีสิ่งที่เรารัก เราต้องดูแล ใส่ใจ สิ่งนั้นจึงจะเติบโต ความรักจึงจะงอกงาม คนที่เรารักก็จะรับรู้ได้ และส่งมอบความรัก ความใส่ใจเช่นเดียวกันตอบกลับมาค่ะ

8. ถ้าไม่ไหวอย่าฝืน หาทางออก และพยายามจบด้วยดี

และข้อคิดจิตวิทยาในการใช้ชีวิตคู่สุดท้ายที่ไม่ท้ายสุดก็คือ ถ้าถึงจุดที่รู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนเดินไปต่อ เพราะจะยิ่งเจ็บกันทั้งคู่ และยิ่งฝืนคบกันอยู่ก็จะมีแต่นิ่งระเบิดอารมณ์ใส่กัน ทำร้ายกันด้วยคำพูด และอาจหนักถึงขั้นลงไม้ลงมือกันได้ ดังนั้นแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือมาเปิดอกคุยกันด้วยเหตุผล และจากลากันด้วยดีค่ะ เป็นเรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่ดีต่อทั้งคู่แน่นอนค่ะ

การใช้ชีวิตคู่ในทางทฤษฎี คือ ความรู้สึกของคนสองคน แต่ในทางปฏิบัติแล้วมันคือเรื่องราว การเกี่ยวพันกันของคนสองฝ่าย เช่น ครอบครัวเธอ ครัวฉัน เพื่อนเธอ เพื่อนฉัน ที่ทำงานเธอ ที่ทำงานฉัน สัตว์เลี้ยงของเธอ สัตว์เลี้ยงของฉัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมามีส่วนร่วมในการนำพาชีวิตคู่ของคนสองคน ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งทั้งทางบวกและทางลบ ดังนั้นในการใช้ชีวิตคู่การให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย จึงสำคัญพอ ๆ กับการให้ความสำคัญกับตัวเราเอง หากเรารักเขามาก ก็ควร “รักตัวเอง” มากเช่นเดียวกันค่ะ

บทความแนะนำ :

[1] 5 วิธีง่ายๆ ที่นักจิตวิทยาแนะนำในการกลับมารักตัวเอง

[2] อกหักซ้ำ ๆ อาจตอกย้ำว่าคุณยัง รักตัวเอง ไม่มากพอ

iSTRONG ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตและครอบครัว

บริการให้คำปรึกษาโดยนักจิตวิทยา นักจิตบำบัด นักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบรับรอง

สามารถเลือกคุยทางโทรศัพท์หรือการพูดคุยแบบส่วนตัว (Private Counseling)

และคอร์สออนไลน์ | Classroom Workshop

รวมถึงบทความจิตวิทยาอีกมากมาย

Contact : https://www.istrong.co/service

ประวัติผู้เขียน : จันทมา ช่างสลัก บัณฑิตสาขาวิชาเอกจิตวิทยาคลินิก เกียรตินิยมอันดับ 2 จากรั้ว มช. และมหาบัณฑิตด้านการพัฒนาสังคม NIDA มีประสบการณ์ด้านจิตวิทยาเด็ก 4 ปี เป็นผู้ช่วยนักวิจัย ด้านจิตวิทยา 1 ปี ปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ ที่มีประสบการณ์ในการนำศาสตร์จิตวิทยามาใช้ในการดูแลครอบครัว มากว่า 8 ปี อีกทั้งยังประยุกต์ใช้ศาสตร์ทางจิตวิทยาในการใช้ชีวิต และมีความสุขกับการเขียนบทความจิตวิทยา