ภาพยนตร์ ความตาย และความหมายของชีวิต
จากภาพยนตร์ ร้อยเรียงสู่เรื่องจริง
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมได้ไปดูภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง “KIMI NO SUIZO WO TABETAI” หรือชื่อไทยว่า “ตับอ่อนเธอนั้น ขอฉันเถอะนะ”
ภาพยนตร์ชื่อแปลกนี้ เป็นเรื่องราวของนักเรียนหญิงคนหนึ่งเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน ได้แต่รอวันตายที่จะมาถึงเร็วกว่าคนทั่วไป เธอได้จดบันทึกชีวิตประจำวัน กับอาการของโรคลงสมุดเล่มเล็กไว้โดยไม่บอกให้เพื่อนสนิทรู้ เพราะกลัวเพื่อนทุกข์ใจ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง นักเรียนชายคนหนึ่งในห้องเรียนเดียวกันก็มาเห็นสมุดเล่มนี้เข้า หลังจากได้อ่านก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมามากนักจากบุคลิกที่เงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เธอจึงได้ตัดสินใจมาสนิทสนมกับเขา เนื่องจากเห็นว่าเป็นคนที่สามารถคุยด้วยแล้วสบายใจ เพราะเขาได้รู้ความลับของเธอไปด้วยแล้วนั่นเอง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ดำเนินเรื่องราวซับซ้อนอะไร บางทีบทสนทนาออกจะตรงไปตรงมาด้วยซ้ำ ด้วยคำถามว่าทำไมนักเรียนหญิงผู้นี้ถึงยิ้มได้ หัวเราะได้ ออกไปเที่ยวเล่นได้ เธอไม่กลัวความตายหรืออย่างไร ซึ่งข้อสงสัยเหล่านี้เราจะทราบในเนื้อเรื่อง ผ่านมุมมองต่อชีวิตของตัวละคร
นอกจากความซึ้งกินใจ ในความหมายของการใช้ชีวิตที่แสดงผ่านตัวละครในภาพยนตร์แล้ว ความสัมพันธ์อันสนิทสนมของสองตัวละครหลักในภาพยนตร์ยังสะท้อนภาพในอดีตของผมไปพร้อมกันด้วย เมื่อหลายปีก่อนตัวผมนั้นก็เคยมีน้องที่สนิทกันมากๆ อยู่คนหนึ่ง เป็นน้องสาวที่ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ไม่ใช่เพื่อน และไม่ใช่แฟน ได้ถูกพรากจากไปด้วยความตาย ความตายที่ดูออกจะเร็วไปหน่อยสำหรับคนอายุยังไม่ถึงเลขสาม เท่าที่รู้น้องสาวผมนั้นไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำมากเท่านางเอกของภาพยนตร์ เนื่องจากความตายที่ไม่ได้ทราบล่วงหน้า แต่เป็นตัวผมเองที่ตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังหลังผ่านความเศร้าเสียใจอย่างหนัก ว่าถ้าหากตัวเองต้องตายในอนาคตอันใกล้ ยังมีอะไรที่อยากทำเหลืออยู่บ้าง
ช่วงนั้นผมเปลี่ยนงานบ่อยมาก ส่วนใหญ่เป็นงานนอกสายงานที่เรียนมา ส่วนหนึ่งก็มาจากความอยากรู้ว่าจะชอบทำงานนั้นๆ เหมือนอย่างที่คิดไว้ไหม จากงานอดิเรกและความชอบ สามารถเปลี่ยนเป็นงานหลักได้ไหม ทั้งนี้งานหรือกิจกรรมแต่ละอย่าง ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ถ้าไปถามคนอื่นๆ ก็จะมีทั้งคนบอกข้อดี และไม่ดี มีคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ร้อยคนก็ร้อยความคิด สุดท้ายประสบการณ์ที่เราลงมือทำเอง จะบอกเราได้ดีที่สุด ต่อให้เราทำแล้วเลิก ทำแล้วผิดจากที่หวังไว้ ทำแล้วรู้ว่าไม่ใช่ ไม่เหมาะ หรือทำแล้วถูกคนอื่นวิจารณ์กันสนุกปาก มันก็ยังดีกว่าเราค้างคาใจ หรือทุกข์ใจที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ใจอยากทำมาตลอด
การได้ตระหนักรู้ว่าความตายว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ทำให้เราใช้เวลาไปกับสิ่งต่างๆ ได้คุ้มค่ามากขึ้น และความคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่าอยู่ที่เรารับรู้เองคนเดียว สิ่งที่มีคุณค่าในใจเรา คนอื่นอาจมองว่าไร้สาระก็ได้ แถมเราจะไปห้ามความคิดคนอื่นก็ไม่ได้ด้วย คนที่มัวแต่คิดมากกับคำพูดของคนอื่น คนนั้นจะหาความสุขไม่ได้เลย
หลายๆ ครั้งเราเลือกที่จะไม่คิดถึงความตาย เพราะคิดว่าความตายเป็นเรื่องเศร้า เป็นเรื่องน่ากลัว เป็นความทุกข์ใหญ่หลวง ทั้งที่ความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องประสบพบเจอ หากใครตระหนักได้ว่าความตายจะมาถึงตัวเองในสักวัน แล้วตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร และเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าจะทำอะไรไปก็ตาม ทุกสิ่งที่เลือกทำจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เพราะทุกคนย่อมอยากฝากอะไรทิ้งไว้ในโลกนี้ก่อนตายทั้งนั้น แม้เป็นการกระทำเล็กๆ แต่มีความหมายสำหรับตนเองและคนอื่น เท่านี้ก็เพียงพอกับการใช้ชีวิตในแต่ละวันแล้ว
Comments