6 วิธีขับเคลื่อนทีมงานด้วยจุดมุ่งหมาย หนทางป้องกัน Burnout และปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงาน
ในชีวิตการทำงาน เคยมีบางช่วงที่คุณเกิดคำถามกับตัวเองบ้างมั้ยว่า “นี่เรากำลังทำอะไรอยู่” “เราอดทนทำงานหนักที่นี่ไปเพื่ออะไร” “ทำไมเราต้องทนกับเพื่อนร่วมงานนิสัยไม่ดีคนนี้” “ทำไมเราต้องทนกับหัวหน้าคนนี้” หากคุณเคยเกิดคำถามที่เหมือนหรือใกล้เคียงขึ้นในหัว บางทีคุณอาจกำลังเผชิญความเสี่ยงกับภาวะหมดไฟในการทำงาน (Job Burnout) อยู่ก็ได้
คนทำงานกำลังเสี่ยงและเผชิญกับ Job Burnout มากขึ้นเรื่อย ๆ จน WHO เองบรรจุให้ Job Burnout เป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน แต่ไม่ได้ถูกจัดให้เป็นโรคทางการแพทย์ ภาวะนี้ถูกอธิบายว่าเป็น 'ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะด้านสุขภาพ' อยู่ใน International Classification of Diseases ครั้งที่ 11 (ICD-11) ซึ่งได้ให้คำนิยามของภาวะหมดไฟในการทำงานไว้ดังนี้:
"ภาวะหมดไฟในการทำงานเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีอาการเด่น 3 ประการ คือ:
รู้สึกหมดพลังหรือหมดเรี่ยวแรง
เอาใจออกห่างจากงานของตนเองมากขึ้น หรือมีความรู้สึกในแง่ลบหรือมองโลกในแง่ร้ายเกี่ยวกับงานของตน
ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
โดยปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะในบริบทของการทำงาน
แต่ไม่ใช่แค่เฉพาะคุณ เพราะในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เร่งรีบและมีความกดดันสูงในปัจจุบัน ความวิตกกังวล ภาวะหมดไฟ และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ กำลังเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยขึ้นทั้งในหมู่พนักงานและผู้นำ ในฐานะหัวหน้าทีมหรือผู้จัดการ
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือ การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีจุดมุ่งหมาย (Purpose-driven Work Environment) ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังช่วยปกป้องสุขภาพจิตของทีมและตัวคุณเองจากภาวะทางใจเหล่านั้น รวมไปถึง การนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีและมีส่วนร่วมมากขึ้น
การทำงานด้วยจุดมุ่งหมาย (Purpose) ส่งผลดีต่อสุขภาพใจคนทำงานอย่างไร
สภาพแวดล้อมการทำงานที่มีจุดมุ่งหมาย คือสถานที่ซึ่งพนักงานรู้สึกว่างานของพวกเขามีความหมาย สอดคล้องกับค่านิยม (Core Value) ของตน และมีส่วนช่วยเหลือสังคมในวงกว้าง เมื่อพนักงานพบจุดมุ่งหมายในงานของตนเอง พวกเขามักจะมีความพึงพอใจในงาน แรงจูงใจ และความยืดหยุ่นทางจิตใจ (Resilience) ที่สูงขึ้น ความรู้สึกมีจุดมุ่งหมายนี้ทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันความเครียดที่มักนำไปสู่ความวิตกกังวล ภาวะหมดไฟ และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ
ในฐานะผู้นำคุณจะช่วยพนักงานสร้างจุดมุ่งหมายในงานได้อย่างไร
ในฐานะผู้นำ บทบาทของคุณมีความสำคัญอย่างมากในการกำหนดสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของทีม การสร้าง Purpose-driven Workplace จะช่วยสร้างปัจจัยที่สนับสนุนสุขภาพจิตที่ดีในองค์กร ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายนี้
1. เชื่อมโยงแต่ละงานให้สอดคล้องกับพันธกิจและค่านิยมขององค์กร
เมื่อพนักงานมองเห็นว่างานของตัวเองสนับสนุนภาพใหญ่ในระดับองค์กรอย่างไร พวกเขามีแนวโน้มที่จะพบความหมายในงานประจำวันมากขึ้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งคุณทำได้โดย
สื่อสารวิสัยทัศน์: เล่าพันธกิจ วิสัยทัศน์ และค่านิยมขององค์กรในทีมของคุณอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้พวกเขาเห็นว่างานของพวกเขามีส่วนโดยตรงต่อการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้อย่างไร โดยสามารถทำได้ผ่านการประชุมทีม การพูดคุยตัวต่อตัว และแม้แต่การสื่อสารภายใน เช่น ในการประชุมทีมประจำสัปดาห์ คุณสามารถเริ่มต้นด้วยการทบทวนพันธกิจขององค์กร เช่น หากพันธกิจขององค์กรคือ "บริการชุมชนด้วยเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรม" คุณอาจเล่าเรื่องความสำเร็จล่าสุดว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในชุมชนหนึ่งอย่างไร เรื่องราวนี้สามารถใช้เพื่อเตือนทีมว่างานของพวกเขามีส่วนช่วยในภารกิจโดยรวมนี้อย่างไร
ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงของงานกับผลกระทบ: เมื่อเป็นไปได้ ให้เชื่อมโยงงานหรือโครงการเฉพาะกับผลลัพธ์เชิงบวกที่เกิดขึ้นกับองค์กร ลูกค้า หรือชุมชน สิ่งนี้ช่วยให้พนักงานเห็นผลกระทบที่จับต้องได้ของงานของพวกเขา ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของมัน เช่น สมมติว่าทีมของคุณรับผิดชอบด้านการบริการลูกค้า คุณสามารถแบ่งปันตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นว่าเวลาตอบสนองที่รวดเร็วของพวกเขานำไปสู่คะแนนความพึงพอใจของลูกค้าที่สูงขึ้นได้อย่างไร นอกจากนี้ คุณอาจแสดง Testimonials จากลูกค้าที่ประทับใจและแสดงความขอบคุณสำหรับการบริการที่ได้รับ แสดงให้เห็นว่างานประจำวันของพวกเขามีผลกระทบเชิงบวกโดยตรงต่อชื่อเสียงขององค์กรและความภักดีของลูกค้าอย่างไร
2. ส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการเห็นคุณค่าและชื่นชมกัน
การเห็นคุณค่า (Recognition) และชื่นชม (Appreciation) มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความรู้สึกมีพลังและทิศทาง เมื่อพนักงานรู้สึกว่าความพยายามของพวกเขาได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่า จะช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงกับงานของพวกเขาและลดโอกาสที่จะเกิดภาวะหมดไฟ
ชื่นชมผลงานอย่างสม่ำเสมอ: สร้างนิสัยในการชื่นชม ขอบคุณ และเฉลิมฉลองความสำเร็จทั้งของบุคคลและทีม อาจทำได้ผ่าน Recognition Program การกล่าวชื่นชมระหว่างการประชุม หรือข้อความแสดงความชื่นชมส่วนตัว
ส่งเสริมการขอบคุณกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน: สร้างโอกาสให้สมาชิกในทีมชื่นชมและขอบคุณผลงานของกันและกัน สิ่งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความกลมเกลียว แต่ยังช่วยเน้นย้ำคุณค่าของบทบาทของแต่ละคนภายในทีม
3. ส่งเสริมสมดุลชีวิตการทำงานและความเป็นอยู่ที่ดี
สภาพแวดล้อมที่มีจุดมุ่งหมายควรให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ของพนักงานด้วย การส่งเสริมสมดุลชีวิตการทำงานเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะหมดไฟและป้องกันประเด็นสุขภาพใจ
กำหนดขอบเขตเวลา: สนับสนุนให้ทีมของคุณกำหนดขอบเขตเวลาที่ชัดเจนระหว่างงานและเวลาส่วนตัว และทุกคนควรเคารพขอบเขตเหล่านี้ด้วย รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมที่ยอมรับการให้เวลาและพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันจริง ๆ
อนุญาตให้มีการทำงานที่ยืดหยุ่น: หากเป็นไปได้ ให้ทางเลือกในการทำงานที่ยืดหยุ่นซึ่งช่วยให้พนักงานจัดการเวลาและความรับผิดชอบในแบบที่เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตส่วนตัวของพวกเขา ความยืดหยุ่นสามารถลดความเครียดและเพิ่มความพึงพอใจในงานโดยรวม
ส่งเสริมการดูแลตนเอง: สนับสนุนให้ทีมของคุณพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ ใช้วันหยุดพักผ่อน และทำกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพกายและใจ เช่น การออกกำลังกาย ในฐานะผู้นำ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลตนเองด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง
4. ส่งเสริมการเติบโตทั้งส่วนตัวและอาชีพ
การให้โอกาสในการเติบโตและพัฒนาสามารถเพิ่มความรู้สึกมีจุดมุ่งหมายได้อย่างมาก เมื่อพนักงานรู้สึกว่าพวกเขากำลังก้าวหน้าในอาชีพและพัฒนาทักษะใหม่ๆ พวกเขามีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมและมีแรงจูงใจมากขึ้น
สร้างโอกาสในการเรียนรู้: จัดให้มีการเข้าถึงการฝึกอบรม สัมมนา และแหล่งเรียนรู้อื่นๆ ที่ช่วยให้พนักงานพัฒนาทักษะใหม่และก้าวหน้าในอาชีพ สนับสนุนให้พวกเขาตั้งเป้าหมายในการเติบโตส่วนบุคคลและช่วยเหลือพวกเขาในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้
สร้างเส้นทางสู่ความก้าวหน้า: สื่อสารเส้นทางอาชีพที่เป็นไปได้ภายในองค์กรอย่างชัดเจนและให้โอกาสในการก้าวหน้า การรู้ว่ามีโอกาสเติบโตสามารถสร้างแรงจูงใจให้พนักงานยังคงมุ่งมั่นในบทบาทของตน
5. จัดการเชิงรุกกับความเครียดและความวิตกกังวล
แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีจุดมุ่งหมาย ความเครียดและความวิตกกังวลก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ สิ่งสำคัญคือต้องจัดการกับปัญหาเหล่านี้เชิงรุกเพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามเป็นภาวะหมดไฟหรือปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น
ทำให้การพูดคุยเรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติ: สร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและให้การสนับสนุน ซึ่งพนักงานรู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตโดยไม่ต้องกลัวการถูกตีตราในเชิงลบ เสนอทรัพยากรที่สนับสนุนต่างๆ เช่น โปรแกรมความช่วยเหลือพนักงาน (EAPs) และชักชวนให้พนักงานใช้บริการเหล่านี้
ให้ความช่วยเหลือในช่วงที่มีความเครียดสูง: รับรู้เมื่อทีมของคุณอยู่ภายใต้ความกดดันที่เพิ่มขึ้นและให้การสนับสนุนเพิ่มเติมในช่วงเวลาเหล่านี้ อาจรวมถึงการเสนอทรัพยากรเพิ่มเติม การปรับเปลี่ยนกำหนดเวลา หรือเพียงแค่พูดคุยบ่อยขึ้นเพื่อให้กำลังใจและความช่วยเหลือ ทั้งนี้หากคุณ ในฐานะผู้นำ มีทักษะที่เรียกว่า Mental Health First-aid ก็จะยิ่งสามารถช่วยสังเกต ดูแล และจัดการกับเรื่องสุขภาพจิตให้พนักงานได้ดียิ่งขึ้น
6. เป็นผู้นำที่มี Empathy และความเมตตา
Empathy หรือความเข้าอกเข้าใจและความเมตตาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการนำทีมที่ส่งเสริมการมีจุดมุ่งหมาย การเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตใจของทีมของคุณ จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวกซึ่งให้ความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่
ฝึกการรับฟังอย่างตั้งใจ: ใช้เวลาฟังความกังวล ความท้าทาย และข้อเสนอแนะของทีมงาน แสดงความสนใจอย่างจริงใจในชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาและสนับสนุนเท่าที่ทำได้
มีความตรงไปตรงมาและโปร่งใส: สื่อสารอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความท้าทายและความไม่แน่นอน ความตรงไปตรงมาสร้างความไว้วางใจและลดความวิตกกังวลโดยการทำให้ทุกคนได้รับข้อมูลและมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
เสนอความยืดหยุ่นในช่วงเวลาที่ยากลำบาก: เข้าใจว่าปัญหาส่วนตัวสามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานได้ คุณควรมี Empathy และยืดหยุ่นเมื่อทีมงานกำลังเผชิญกับความท้าทายส่วนตัว โดยเสนอการปรับตัวหรือการปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น
หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการ Burnout ของตนเองหรือทีมงานด้วยการสร้างชีวิตและงานที่มีจุดมุ่งหมาย คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิด Existentialism (อัตถิภาวนิยม) ที่เป็นหนึ่งในแนวคิดจิตวิทยาสำคัญในยุคใหม่
แนวคิด Existentialism เน้นย้ำเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคล การเลือก และการรับผิดชอบสิ่งที่ตนเองเลือก แก่นสำคัญคือการมองว่าชีวิตไม่มีความหมายโดยธรรมชาติ แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะสร้างจุดมุ่งหมายและความหมายของตนเองผ่านการกระทำและการตัดสินใจ
ในที่ทำงาน แนวคิดนี้ส่งเสริมให้พนักงานนิยามความหมายของงานตนเอง จัดวางภารกิจให้สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว และรับผิดชอบต่อผลงานของตน เมื่อพนักงานรู้สึกว่าตนมีอิสระในการกำหนดรูปแบบบทบาทของตนและมีเสรีภาพในการตัดสินใจที่สะท้อนตัวตนที่แท้จริง พวกเขามีแนวโน้มที่จะค้นพบจุดมุ่งหมายในงานของตนมากขึ้น ความรู้สึกมีจุดมุ่งหมายนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความพึงพอใจในงาน แต่ยังทำหน้าที่เป็นปัจจัยป้องกันความวิตกกังวลและภาวะหมดไฟอีกด้วย
คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน Workshop เพื่อจัดการ Burnout ด้วยแนวคิด Existentialism จากคอร์ส จัดการ Burnout ความเศร้า และความล้มเหลวด้วยจุดมุ่งหมายชีวิต
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
Comments