คุณกำลังถูกแฟน gaslighting อยู่หรือไม่ และทำยังไงหากอยากจะเลิกกับแฟนแบบนี้
ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลายคนก็คงมีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าหลังจากปีใหม่ก็อยากจะปรับเปลี่ยนอะไรเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ซึ่งส่วนหนึ่งก็พบว่าตัวเองมีเป้าหมายคือ ‘อยากจะเลิกกับแฟนที่ toxic เหลือเกิน’ และหนึ่งในพฤติกรรม toxic สุดคลาสสิคของแฟนก็คือพฤติกรรมที่เรียกว่า ‘gaslighting’ คือการปั่นหัวให้อีกฝ่ายสับสนกับสิ่งที่ตัวเองคิดทำให้เขาหรือเธอสามารถโยนความผิดให้อีกฝ่ายได้แบบเนียน ๆ ส่วนตัวเองก็สามารถลอยตัวจากความผิดไปได้หน้าตาเฉย
แฟนแบบไหนที่มีพฤติกรรม Gaslighting
เมื่อเขาหรือเธอทำอะไรที่มีพิรุธอย่างชัดเจนหรือคุณจับโกหกได้ แต่เขาหรือเธอจะปฏิเสธทุกอย่างแล้วหันมาพูดถึงความบกพร่องของคุณแทน และพยายามพูดให้คุณรู้สึกว่าตัวเองต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด เช่น คุณเห็นข้อความแชทที่แฟนของคุณบอกฝันดีคน ๆ หนึ่งทุกคืน พอคุณไปถามแฟน แฟนกลับบอกว่า “คิดมากไปเอง” “คุณน่ะขี้หึงเกินไปแล้ว” “แฟนดี ๆ เขาไม่เช็คโทรศัพท์กันหรอก คุณเป็นแฟนที่แย่มาก”
เขาหรือเธอชอบทำอะไรที่บั่นทอนความมั่นใจของคุณ มักจะพูดอะไรให้คุณเสียความมั่นใจ(เสียเซลฟ์) บ่อย ๆ เช่น เวลาที่คุณมีความคิดเห็นอะไร เขาหรือเธอก็จะมีคำพูดติดปากเสมอว่า “ใช่เหรอ” “มั่วรึเปล่า” “อย่างคุณน่ะเหรอจะมีความคิดดี ๆ แบบนี้ได้” “อย่ามาพูดเลย คุณไม่รู้อะไรจริงหรอก”
เวลาอยู่กับเขาหรือเธอ คุณรู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะเป็นบ้า พฤติกรรมนี้จะเหมือนกับในหนังซึ่งเป็นที่มาของคำว่า gaslighting ก็คือหนังเรื่อง Gaslight (1944) เช่น เมื่อแฟนของคุณแอบออกไปหาคนอื่นกลางดึกแต่ก็กลับมานอนข้าง ๆ คุณในทุกเช้า พอคุณถามว่า “เมื่อคืนไปไหนมา” เขากลับบอกว่า “ไม่ได้ไปไหนนี่” แถมยังนัดแนะกับเพื่อน ๆ ให้พูดแบบเดียวกันว่าเขาก็อยู่ที่บ้านตลอดไม่ได้ออกไปไหน หากแฟนของคุณทำแบบนี้บ่อย ๆ มันก็อาจจะทำให้คุณคิดว่า “หรือว่าฉันหลอนไปเอง”
เขาหรือเธอพยายามทำให้คุณรู้สึกว่าตัวคุณเองนั่นแหละที่ “เวอร์” เกินไป พฤติกรรมนี้เป็นการใช้เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้เป็นอย่างที่เขาหรือเธอต้องการ โดยเขาหรือเธอจะเล่นบทเหยื่อที่ถูกคุณกระทำ เช่น เมื่อคุณโมโหที่แฟนของคุณมีกิ๊กและคุณร้องไห้ออกมา เขาก็จะบอกว่าคุณเล่นใหญ่ทำไม เรื่องแค่นี้เองทำไมต้องทำให้มันมีปัญหา ซึ่งพฤติกรรมนี้มักจะมาคู่กับการป้ายความผิดก็คือ เขาจะบอกว่า “ก็เพราะคุณเป็นแบบนี้ไง ผมถึงไปต้องไปมีคนอื่น คุณไม่เคยทำให้ผมรู้สึกดีเลย”
เขาหรือเธอใช้จุดอ่อนของคุณมาเล่นงานคุณ และบอกว่าจุดอ่อนของคุณคือตัวการที่ทำให้ความสัมพันธ์มีปัญหา เช่น คุณเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวมาก คุณอาจจะเคยดูซีรีส์แล้วร้องไห้ต่อหน้าแฟนบ่อย ๆ ทำให้เวลาทะเลาะกันทีไร ถึงแม้ว่าแฟนของคุณจะเป็นฝ่ายผิดแต่เขาก็จะหยิบยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาบดบังความผิดของเขา เช่น “ขนาดดูซีรีส์ยังร้องไห้เลย ถ้าคุณไม่เป็นแบบนี้ผมคงจะทนกับคุณได้มากกว่านี้ คุณทำให้ความรักของเรามันแย่” หรืออย่างในกรณีที่มีชายคนหนึ่งบอกว่าที่เขาไปแต่งงานกับแฟนเก่าก็เพราะว่าแฟนปัจจุบันเป็นโรคซึมเศร้าทำให้เขารู้สึกแย่จนต้องขอเลิก ทั้งที่ตัวเขาเองต่างหากที่คบซ้อนและไม่ชัดเจนกับทั้งแฟนเก่าและแฟนปัจจุบันมาโดยตลอด พฤติกรรมแบบนี้ก็จัดว่าเป็น gaslighting แบบหนึ่งเช่นกัน
จะทำยังไงหากอยากจะเลิกกับแฟนแบบนี้
อันที่จริงจะว่าไปแล้ว หากคุณเกิดคำถามนี้ขึ้นมาในใจก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีมากแล้วค่ะ เพราะนั่นหมายความว่าคุณเริ่มตาสว่างขึ้นมาแล้วว่าคุณกำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่มีความสุขจนอยากจะเลิกกับแฟนแบบนี้ไปสักที แต่ในขณะเดียวกันผู้เขียนก็เข้าใจค่ะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเลิกกับแฟน เพราะบนเส้นทางความรักที่ผ่านมาคุณย่อมจะมีทั้งวันที่ดีและวันที่แย่ ในพฤติกรรม gaslighting ของแฟนก็อาจจะมีบางพฤติกรรมที่คุณประทับใจ โดยเฉพาะหากคุณยังยึดติดอยู่กับวันแรก ๆ ที่เขาหรือเธอมาจีบคุณ เพราะในช่วงเวลาเหล่านั้นเขาหรือเธอมักจะทำอะไรดี ๆ ให้คุณรู้สึกประทับใจไม่รู้ลืม ซึ่งภาพจำดี ๆ อดีตจะทำให้คุณเกิดความหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับแฟนอาจจะกลับไปดีแบบนั้นอีกครั้งก็ได้และทำให้คุณ ‘มูฟออนเป็นวงกลม’ ซึ่งในกรณีแบบนี้คุณอาจจำเป็นต้องปรึกษานักจิตบำบัดเพื่อสำรวจในเชิงลึกว่าอะไรที่ทำให้คุณไม่สามารถไปจากแฟนที่ toxic ได้สักที แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าอยากจะเลิกกับแฟนแบบนี้ ข้างล่างคือแนวทางในการจบความสัมพันธ์กับแฟน toxic หรือแฟนจอม gaslighting ค่ะ
เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในวันที่บอกเลิกแฟน สถานการณ์มันอาจไม่ได้เป็นไปเหมือนที่คุณตั้งใจไว้ ดังนั้น คุณควรวางแผนรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดฝันเอาไว้ด้วย เช่น เลือกสถานที่บอกเลิกที่มีคุณสามารถขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ง่าย ให้เพื่อนไปรออยู่ใกล้ ๆ กับสถานที่บอกเลิก โดยเฉพาะในกรณีที่แฟนของคุณเป็นคนที่มีอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง คุณไม่ควรไปพบกับเขาหรือเธอโดยไม่มีแผนในการป้องกันตัวเองหากเขาทำร้ายคุณ
เคลียร์กับเขาให้ชัดเจน สื่อสารให้เขาหรือเธอเข้าใจความต้องการของคุณอย่างชัดเจน บอกกับเขาหรือเธอให้รู้ว่าคุณตัดสินใจว่าจะขอจบความสัมพันธ์ ไม่ควรพูดให้ดูคลุมเครือหรือสับสนเพราะมันจะดูเหมือนคุณกั๊กหรือยังให้ความหวังแฟนว่าคุณอาจจะเปลี่ยนใจ ซึ่งก่อนที่คุณจะไปเคลียร์กับแฟน คุณควรเคลียร์กับตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่าคุณต้องการจะเลิกกับแฟนแน่นอนเลยใช่ไหม และที่สำคัญอย่าปล่อยให้แฟนลงมือทำร้ายคุณ
สุขภาวะทางร่างกายจิตใจของตัวเองนั้นมีความสำคัญมาก หากคุณมีปัญหาใดที่ไม่สามารถรับมือจัดการตามลำพัง ก็อย่าลืมว่าคุณสามารถขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้นะคะ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท หรือหากคนใกล้ชิดไม่เป็นเซฟโซนเลย คุณก็สามารถนัดพบกับจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือนักจิตบำบัดได้เสมอค่ะ
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
• บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
• คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
• EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
อ้างอิง:
[1] How to Recognize & Respond to Gaslighting. Retrieved from. https://www.verywellhealth.com/signs-of-gaslighting-5219024
[2] คำสารภาพของผู้ชายจอมปั่นหัว. Retrieved from. https://www.bbc.com/thai/features-42695149
บทความที่เกี่ยวข้อง
ประวัติผู้เขียน
นางสาวนิลุบล สุขวณิช (เฟิร์น) จบการศึกษาระดับปริญญาโทในสาขาจิตวิทยาการปรึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และระดับปริญญาตรีสาขาจิตวิทยา(คลินิก) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษาประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และเป็นนักเขียนของ iSTRONG
Comments