ทักษะการให้คำปรึกษา ช่วยเจ้าของธุรกิจรักษาพนักงานได้อย่างไร
ในฐานะที่ผู้เขียนเองเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีทีมงาน ยอมรับเลยว่าเรื่องคนเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งกว่าเรื่องธุรกิจหรือการบริหารจัดการอื่นๆ เสียอีก เพราะคนมีอารมณ์ความรู้สึก รวมทั้งมีความคาดหวังและ mindset ไม่เหมือนกัน ถึงแม้พนักงานจะมีความเก่ง แต่หากไม่มีใจ หรือกำลังอยู่ในภาวะที่จิตใจไม่พร้อม ผลงานก็ไม่ออกหรือร้ายที่สุดคือพนักงานเลือกที่จะเดินออกไปจากองค์กร
ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า การรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับทั้งธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และบริษัทใหญ่ๆ การรักษาคนเก่งๆ ไว้ไม่ใช่แค่เรื่องของการเสนอเงินเดือนและสวัสดิการที่น่าดึงดูดเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการตอบสนองความต้องการที่ลึกซึ้งและจับต้องไม่ได้ของพนักงานด้วย วิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือการนำทักษะการให้คำปรึกษามาใช้ในการเป็นผู้นำและการบริหารจัดการ
สำหรับเจ้าของธุรกิจและผู้จัดการ โดยเฉพาะในธุรกิจ SMEs และบริษัทขนาดใหญ่ การนำทักษะการให้คำปรึกษามาใช้อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมในการปรับปรุงการรักษาพนักงาน ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าทำไมทักษะการให้คำปรึกษาจึงสำคัญ มันส่งผลต่อการรักษาพนักงานอย่างไร และผู้นำธุรกิจจะพัฒนาทักษะเหล่านี้เพื่อสร้างทีมงานที่มีส่วนร่วมและจงรักภักดีมากขึ้นได้อย่างไร
วิกฤตของการรักษาพนักงาน: ปัญหาที่กำลังลุกลาม
ก่อนที่จะลงลึกว่าทักษะการให้คำปรึกษาจะช่วยได้อย่างไร มาดูข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาการรักษาพนักงานกัน:
ตามรายงานของ LinkedIn ในปี 2023 พบว่า 75% ของพนักงานที่ลาออกเองทำเพราะความสัมพันธ์กับหัวหน้าหรือผู้จัดการโดยตรง
การศึกษาของ Gallup พบว่า 48% ของพนักงานกำลังมองหางานใหม่หรือจับตาดูตำแหน่งงานที่เปิดรับอยู่ มักเป็นเพราะไม่พอใจกับการบริหาร ขาดความผูกพันกับองค์กร หรือรู้สึกว่าไม่ได้รับการสนับสนุน
รายงานการรักษาพนักงานปี 2022 ของ Work Institute ประมาณการว่าการหาคนมาแทนพนักงานที่ลาออกอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 33% ของเงินเดือนประจำปีของพนักงานคนนั้น เมื่อคำนวณรวมค่าจ้าง การปฐมนิเทศ และค่าฝึกอบรม รวมถึงผลผลิตที่สูญเสียไป
สถิติเหล่านี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ต้นทุนจากการที่พนักงานลาออกนั้นสูงมาก ทั้งในแง่การเงินและในแง่ของวัฒนธรรมองค์กรและ Productivity สำหรับธุรกิจ SMEs ต้นทุนนี้อาจเป็นภาระหนักเป็นพิเศษ เพราะพนักงานทุกคนมีบทบาทสำคัญ สำหรับบริษัทใหญ่ การลาออกทำให้การทำงานหยุดชะงัก ส่งผลต่อการเป็นอยู่ของทีม และเกิดช่องว่างด้านทักษะที่ยากจะเติมเต็ม นี่คือจุดที่ทักษะการให้คำปรึกษาเข้ามามีบทบาท
ทำไมทักษะการให้คำปรึกษาจึงสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจ
ทักษะการให้คำปรึกษา เช่น การฟังอย่างเข้าใจ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และความฉลาดทางอารมณ์ ช่วยให้ผู้นำเข้าใจความต้องการ แรงจูงใจ และความท้าทายของพนักงานได้ดีขึ้น ทักษะเหล่านี้ช่วยปรับปรุงวิธีที่ผู้นำมีส่วนร่วมกับทีมของตนได้อย่างมาก นำไปสู่ความพึงพอใจในงานที่มากขึ้น และท้ายที่สุดคืออัตราการรักษาพนักงานที่สูงขึ้น
นี่คือวิธีที่ทักษะการให้คำปรึกษาสามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจและผู้จัดการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สนับสนุนและมีส่วนร่วมมากขึ้น:
1. สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพนักงาน
หนึ่งในเหตุผลหลักที่พนักงานลาออกจากงานคือการขาดการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้างาน พนักงานจำนวนมากรู้สึกว่าหัวหน้างานไม่เข้าใจพวกเขาหรือไม่ให้การสนับสนุนที่เพียงพอ ทักษะการให้คำปรึกษาช่วยให้เจ้าของกิจการและหัวหน้างานสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและจริงใจมากขึ้นกับทีมของตน
การฟังอย่างเข้าใจ ซึ่งเป็นทักษะหลักในการให้คำปรึกษา ช่วยให้หัวหน้างานรับฟังความกังวลของพนักงานอย่างแท้จริงโดยไม่ขัดจังหวะหรือคิดสรุปเอาเอง เมื่อพนักงานรู้สึกว่าได้รับการรับฟัง พวกเขามีแนวโน้มที่จะรู้สึกมีคุณค่าและได้รับการสนับสนุน ซึ่งเพิ่มความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งและความจงรักภักดีต่อองค์กร
รายงานปี 2020 โดย SHRM พบว่าพนักงานที่รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่ามีแนวโน้มที่จะอยู่กับนายจ้างปัจจุบันในอีกสามถึงห้าปีข้างหน้าสูงกว่าถึง 60% ทักษะการให้คำปรึกษาสามารถช่วยให้หัวหน้างานสร้างความรู้สึกมีคุณค่านั้นด้วยการส่งเสริมการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาและความไว้วางใจ
2. จัดการกับความเครียดและภาวะหมดไฟ (Job Burnout) ของพนักงาน
ภาวะหมดไฟของพนักงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการลาออก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีความกดดันสูง เช่น บริษัทด้านเทคโนโลยี ทักษะการให้คำปรึกษาช่วยให้หัวหน้างานมีเครื่องมือในการอ่านสัญญาณของความเครียดและภาวะหมดไฟก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาวิกฤต การรู้ว่าเมื่อไหร่ที่พนักงานรู้สึกรับมือไม่ไหวหรือไม่มีใจ ช่วยให้หัวหน้างานสามารถแทรกแซงได้แต่เนิ่นๆ และเสนอความช่วยเหลือได้ทันเวลา
ตัวอย่างเช่น การสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ช่วยให้หัวหน้างานถามคำถามปลายเปิด เช่น "น้องรู้สึกยังไงกับปริมาณงานของตัวเอง" นี่ให้โอกาสพนักงานได้บอกเล่าความยากลำบากโดยไม่ต้องกลัวถูกตัดสินหรือลงโทษ ผลก็คือ พนักงานมีแนวโน้มที่จะขอความช่วยเหลือแต่เนิ่นๆ ป้องกันภาวะหมดไฟและลดโอกาสการลาออก
ข้อมูลจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) แสดงให้เห็นว่า 61% ของพนักงานเกิดความเครียดเนื่องจากงานของพวกเขา โดยระดับความเครียดที่สูงส่งผลให้อัตราการลาออกสูงขึ้น หัวหน้างานที่สามารถให้การสนับสนุนทางอารมณ์และแนวทางแก้ไขที่ปฏิบัติได้จริงมีแนวโน้มที่จะรักษาทีมของตนได้ดีกว่า
3. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุน
วัฒนธรรมองค์กรมีบทบาทสำคัญในการรักษาพนักงาน วัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) การสื่อสารแบบเปิดเผยจริงใจ และการสนับสนุนทางอารมณ์มีแนวโน้มที่จะรักษาพนักงานได้ในระยะยาว ทักษะการให้คำปรึกษามีส่วนสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมแบบนี้
หัวหน้างานที่ได้รับการฝึกอบรมด้านการให้คำปรึกษามีความพร้อมในการสร้างความปลอดภัยทางใจ (Psychological Safety) ซึ่งพนักงานรู้สึกสบายใจที่จะแสดงความคิด ความกังวล หรือความท้าทายโดยไม่กลัวการถูกตำหนิหรือมองในทางลบ สิ่งนี้นำไปสู่การมีส่วนร่วมและผลลัพธ์ของงานที่สูงขึ้น เพราะพนักงานมีแนวโน้มที่จะทุ่มเทผลงานที่ดีที่สุดเมื่อรู้สึกปลอดภัยและได้รับการสนับสนุน
การศึกษาโดยทีม People Operations ของ Google พบว่าความปลอดภัยทางใจเป็นตัวทำนายความสำเร็จของทีมอันดับหนึ่ง ทีมที่รู้สึกปลอดภัยและได้รับการสนับสนุนจากผู้จัดการมีแนวโน้มที่จะสร้างนวัตกรรม ร่วมมือกัน และอยู่กับบริษัทนานขึ้น
4. ปรับปรุงการแก้ไขความขัดแย้ง
ความขัดแย้งในที่ทำงานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วิธีจัดการความขัดแย้งสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในการรักษาพนักงาน ความขัดแย้งที่จัดการไม่ดีอาจนำไปสู่ความไม่พอใจ การเอาใจออกห่างไม่มีส่วนร่วม และในที่สุดคือการลาออก ทักษะการให้คำปรึกษา เช่น การฟังโดยไม่ตัดสิน และการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ช่วยให้หัวหน้างานเข้าหาความขัดแย้งด้วยมุมมองที่มุ่งแก้ปัญหาโดยใช้เทคนิคการให้คำปรึกษา หัวหน้างานสามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ทุกฝ่ายรู้สึกว่าได้รับการรับฟังและเข้าใจ (อย่างแท้จริง) สิ่งเหล่านี้ช่วยลดความตึงเครียด ปรับปรุงการเป็นอยู่ของทีม และทำให้มั่นใจว่าความขัดแย้งจะไม่ลุกลามจนถึงจุดที่พนักงานรู้สึกว่าต้องหนีไป
งานวิจัยจาก CPP Global พบว่า 85% ของพนักงานประสบความขัดแย้งในที่ทำงาน โดยความขัดแย้งที่ไม่ได้รับการแก้ไขเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการลาออกโดยสมัครใจ หัวหน้างานที่สามารถจัดการกับความขัดแย้งได้อย่างชำนาญมีแนวโน้มที่จะรักษาทีมที่มั่นคงและกลมเกลียวกันไว้ได้
5. ส่งเสริมการเติบโตและพัฒนาด้านอาชีพ
พนักงานในปัจจุบัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ให้คุณค่ากับการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ ทักษะการให้คำปรึกษาสามารถช่วยให้หัวหน้างานเข้าใจเป้าหมายและความทะเยอทะยานในอาชีพของพนักงานได้ดีขึ้น นำไปสู่โอกาสในการพัฒนาที่เหมาะสมมากขึ้นโดยใช้เทคนิคการให้คำปรึกษา เช่น การถามคำถามปลายเปิด หัวหน้างานสามารถค้นพบสิ่งที่จูงใจพนักงานแต่ละคนและให้คำแนะนำว่าพวกเขาจะเติบโตในองค์กรได้อย่างไร วิธีการที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลนี้แสดงให้พนักงานเห็นว่าผู้นำของพวกเขาลงทุนในความสำเร็จของพวกเขา ซึ่งเพิ่มความผูกพันต่อบริษัท
รายงานจาก LinkedIn Learning พบว่า 94% ของพนักงานจะอยู่กับบริษัทนานขึ้นหากบริษัทลงทุนในการพัฒนาอาชีพของพวกเขา ทักษะการให้คำปรึกษาช่วยให้ผู้จัดการสามารถมีการสนทนาที่มีความหมายเกี่ยวกับการเติบโตในอาชีพ ช่วยรักษาคนเก่งๆ ไว้ได้
ขั้นตอนปฏิบัติในการพัฒนาทักษะการให้คำปรึกษาสำหรับเจ้าของธุรกิจและหัวหน้างาน
สำหรับเจ้าของธุรกิจและหัวหน้างานที่ต้องการพัฒนาทักษะการให้คำปรึกษาเพื่อปรับปรุงการรักษาพนักงาน มีขั้นตอนปฏิบัติหลายอย่างที่สามารถทำได้:
ลงทะเบียนเรียนเวิร์คช็อปทักษะการให้คำปรึกษา: เช่นที่ iSTRONG เองมีคอร์สฝึกอบรมทักษะการให้คำปรึกษาที่ออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนจะเกิดทักษะขึ้นได้จริง รวมถึงสอนโดยจิตแพทย์ที่มาพร้อมเคสที่หลากหลาย เวิร์คช็อปนี้ครอบคลุมเทคนิคที่สำคัญ เช่น การฟังอย่างเข้าใจ การสร้าง Empathy การถามคำถามที่ลึกซึ้ง และการอ่านสัญญาณภาวะหมดไฟของพนักงาน
ฝึกฝนการฟังอย่างเข้าใจ: พยายามตั้งใจฟังโดยไม่ขัดจังหวะระหว่างการสนทนากับพนักงาน คิดทบทวนสิ่งที่พวกเขาพูดก่อนที่จะตอบ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขารู้สึกว่าได้รับการรับฟัง
พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์: การตระหนักรู้ในตนเอง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และการควบคุมอารมณ์เป็นองค์ประกอบสำคัญของความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งสามารถพัฒนาได้ผ่านการฝึกอบรมและการฝึกฝน
Check-in และติดตามผลเป็นประจำ: กำหนดการประชุมแบบ one-on-one กับพนักงานเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นอยู่ ความทะเยอทะยานในอาชีพ และความท้าทายที่พวกเขาอาจกำลังเผชิญอยู่ ใช้คำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสนทนาที่ลึกซึ้งขึ้น
ขอข้อเสนอแนะ: ขอให้พนักงานให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับรูปแบบการสื่อสารและการจัดการของคุณ สิ่งนี้สามารถช่วยให้คุณระบุพื้นที่ที่ต้องปรับปรุงและแสดงให้พนักงานเห็นว่าคุณมุ่งมั่นที่จะดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา
ทั้งสำหรับธุรกิจ SME และบริษัทขนาดใหญ่ การรักษาพนักงานไม่ใช่แค่เรื่องของการเสนอเงินเดือนหรือสวัสดิการที่น่าดึงดูด แต่เป็นเรื่องของการสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานรู้สึกมีคุณค่า ได้รับการสนับสนุน และเข้าใจ ทักษะการให้คำปรึกษาช่วยให้เจ้าของธุรกิจและผู้จัดการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับทีมของตน จัดการกับความท้าทายแต่เนิ่นๆ และสร้างวัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจและการสนับสนุน
การพัฒนาทักษะการให้คำปรึกษาช่วยให้ผู้จัดการสามารถปรับปรุงการรักษาพนักงาน ลดต้นทุนจากการลาออก และสร้างทีมงานที่มีส่วนร่วมและมีแรงจูงใจมากขึ้น ในยุคที่การดึงดูดและรักษาคนเก่งมีความสำคัญมากกว่าที่เคย การลงทุนในทักษะเหล่านี้อาจเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาว
หากคุณต้องการจะศึกษาทักษะการให้คำปรึกษาแบบลึกซึ้งมากขึ้นและต้องการนำมาใช้ในงานและธุรกิจของตนเอง สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ คอร์สนักให้คำปรึกษา ระดับ Fundamental >>
iSTRONG Mental Health
ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร
บริการของเรา
สำหรับบุคคลทั่วไป
บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa
คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS
สำหรับองค์กร
EAP โปรแกรมสำหรับองค์กร : http://bit.ly/3RLI8Z8
โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong
Comments