top of page
GDN 980 x 120 psychiatrist.jpg

เมื่อการทำงานมันกัดกินใจ จะรับมือยังไงกับความเครียดที่เกิดขึ้นได้บ้าง?


ความเครียดกับการทำงานมักเป็นของคู่กันอยู่แล้ว ต่อให้ได้ทำงานที่ตัวเองรักแต่ขึ้นชื่อว่า “ทำงาน” ยังไงก็ต้องมีความเครียดเกิดขึ้น ปกติแล้วความเครียดในระดับที่เหมาะสมจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาแต่จะช่วยให้คนทำงานเกิดความกระตือรือร้นและไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ แต่หากความเครียดเกิดขึ้นในระดับที่หนักเกินกว่าจะรับมือไหวหรือความเครียดเกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ คนทำงานก็จะเริ่มรู้สึกว่างานของตัวเองมันช่างกัดกินใจเหลือเกิน 


บรรยากาศการทำงานแบบไหนที่มักจะกัดกินใจคนทำงาน?

การทำงานในทุกที่ย่อมมีวันที่ดีและวันที่มีปัญหา แต่ปัญหามักจะไม่เป็นปัญหาถ้าคนทำงานสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหาและพากันผ่านพ้นปัญหาไปได้ การมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างทำงานจึงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้คนทำงานเครียด แต่ส่วนใหญ่แล้วที่คนทำงานเครียดก็เพราะว่าที่ทำงานมีบรรยากาศที่ Toxic เช่น

- มีการกลั่นแกล้ง (Bullying) และการล่วงละเมิด (Harassment) เกิดขึ้นแต่ไม่มีใครทักท้วงให้แก้ปัญหา

- เมื่อมีคนเห็นปัญหาที่เกิดจากบรรยากาศ Toxic แล้วพูดขึ้นมาก็ไม่มีใครสนใจหรือทุกคนทำเหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่

- มีการนินทาและการปล่อยข่าวลือในที่ทำงานเยอะมาก

- ฝ่ายบริหารพูดกับพนักงานในลักษณะที่ดูถูกเหยียดหยามหรือบอกให้พนักงานต้องอยู่อย่างเจียมตัว

- พนักงานโดนล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวและไม่มี work-life balance ในการทำงาน

- มีปัญหาในการสื่อสารกันระหว่างหัวหน้าและลูกน้อง

- มีระบบลูกรักลูกชังหรือเล่นพรรคเล่นพวก เวลาประเมินผลงานจึงไม่ได้ดูจากประสิทธิภาพในการทำงานแต่จะดูว่าใครสามารถทำให้เจ้านายชื่นชอบได้มากกว่ากัน

- คำขอเกี่ยวกับโอกาสในการพัฒนาตนเองทางวิชาชีพถูกเพิกเฉยหรือไม่สนใจ

- มีเพื่อนร่วมงานที่เฉื่อยเนือยทำให้ต้องแบกรับภาระงานเกินหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง

- มีอัตราการลาออกสูงหรือเปลี่ยนคนมาทำตำแหน่งนั้นบ่อย ๆ


How to รับมือกับความเครียดในที่ทำงาน

1. แกะรอยตัวกระตุ้นความเครียด ลองเขียนออกมาว่าอะไรบ้างที่ทำให้คุณเครียดเกี่ยวกับงานในช่วงนี้ เขียนความคิด ความรู้สึก คนที่คุณรู้สึกว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความเครียดที่เกิดขึ้น รวมถึงวิธีที่คุณใช้ในการตอบสนองต่อสถานการณ์หรือคนเหล่านั้น การแกะรอบตัวกระตุ้นจะช่วยให้คุณเห็นแพทเทิร์นของตัวคุณเองว่าคุณมักจะอ่อนไหวกับเรื่องอะไรและเวลาที่อ่อนไหวคุณมักจะตอบสนองออกไปยังไง ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความเครียดได้มากขึ้นในวันข้างหน้า 


2. ปรึกษาผู้จัดการหรือหัวหน้างาน มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้งานมันไม่มีความเครียดเกิดขึ้นเลย แต่คุณสามารถลดความเครียดจากการทำงานลงได้ด้วยการปรึกษาผู้จัดการหรือหัวหน้างาน เช่น ช่วยกันวาง action plan ให้ชัดเจน การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันในแผนก การเข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มเติม หรือทำให้มีปรับเปลี่ยนภายในองค์กร อย่างไรก็ตาม หากความเครียดของคุณมีส่วนหนึ่งที่มาจากผู้จัดการหรือหัวหน้างานก็อาจจะต้องข้ามข้อนี้ไป


3. กำหนดขอบเขตให้ชัดเจนระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว เช่น ปิดการแจ้งเตือนหรือไม่รับโทรศัพท์เรื่องงานในเวลาที่ควรจะเป็นเวลานอนหลับพักผ่อน หรือหากคุณ work from home ก็ควรจะยึดเวลาการทำงานตามปกติ จัดระเบียบให้กับตัวเองว่าช่วงไหนเป็นเวลาที่คุณจะทำงานอย่างอุทิศตนและช่วงไหนเป็นเวลาหลังเลิกงานแล้ว


4. ปรับเปลี่ยนวิธีคิด ให้สามารถรับมือกับความเครียดได้ง่ายขึ้น เช่น

- ยอมรับว่าบางอย่างมันก็อยู่เหนือการควบคุมของคุณ

- มองว่าสถานการณ์เลวร้ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมันอาจจะไม่ได้มีแต่มุมแย่ ๆ หรือมันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดก็ได้

- มองภาพรวมแล้วถามตัวเองว่ามันสำคัญแค่ไหนและมันจะมีความหมายในระยะยาวหรือไม่ 

- ตั้งความคาดหวังให้ตรงกับความเป็นจริง 


5. หาวิธีผ่อนคลายและชาร์จพลัง การใช้วันลาหยุดเพื่อไปพักผ่อนมีความสำคัญมากต่อการฟื้นฟูพลังตัวเองให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่หากคุณไม่สามารถลาหยุดได้ก็ให้หาเวลาในแต่ละวันเพื่อผ่อนคลายตัวเองจากการทำงาน หาอะไรที่ทำแล้วเพลิดเพลินสบายใจหลังเลิกงาน การพักผ่อนไม่ได้ทำให้คุณเปลืองเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์และบางอย่างมันก็ไม่ได้ใช้เวลาในการทำมากมาย เช่น ฝึกหายใจวันละ 5-10 นาที หรือพักดูรายการโปรดสักครึ่งชั่วโมง 


6. เลือกสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับตัวเอง ลองเปลี่ยนจากเครียดแล้วไปกระหน่ำกิน fast food หรือดื่มเหล้าหนักขึ้นเป็นไปทำอะไรที่มีประโยชน์กับตัวเองมากกว่าแทน เช่น

- ออกกำลังกาย

- กินอาหารที่มีประโยชน์และสร้างสมดุลให้ร่างกาย

- ทำให้การนอนหลับเป็นไปอย่างมีคุณภาพ 

- หางานอดิเรกให้กับตัวเอง

- พูดคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว


7. ใช้บริการของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หากคุณลองทำมาหลายอย่างแล้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นหรือดูแล้วมีแต่สุขภาพจิตจะแย่ลงไปทุกวัน นักจิตบำบัดก็ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่บั่นทอนสุขภาพจิตหรือช่วยหาสาเหตุของความเครียดและใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพจิต หรือหากองค์กรที่คุณทำงานอยู่มีบริการช่วยเหลือพนักงาน (Employee Assistance Program: EAP) ก็อาจจะมีนักให้คำปรึกษาที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเครียดของคนทำงานให้บริการอยู่ภายในองค์กรซึ่งคุณก็สามารถไปใช้บริการจากส่วนนั้นได้เช่นกัน

 

iSTRONG Mental Health

ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร


บริการของเรา

สำหรับบุคคลทั่วไป

  • บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa  

  • คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS 

สำหรับองค์กร

โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong

 

บทความที่เกี่ยวข้อง


อ้างอิง:

[1] Strategies for Coping with Stress at Work. Retrieved from https://kindbridge.com/mental-health/coping-with-stress-at-work-strategies

[2] Toxic Workplace – Signs and Solutions. Retrieved from https://kindbridge.com/mental-health/toxic-workplace-signs/

 

ประวัติผู้เขียน

นิลุบล สุขวณิช (เฟิร์น) มีประสบการณ์ทำงานเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษาในมหาวิทยาลัยและเป็นวิทยากรเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต/การพัฒนาตนเองให้แก่นักศึกษาเป็นเวลา 11 ปี ปัจจุบันเป็นแม่บ้านในอเมริกาที่มีความสนใจเกี่ยวกับ childhood trauma และยังคงมีความฝันที่จะสื่อสารกับสังคมให้เกิดการตระหนักเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต 

Nilubon Sukawanich (Fern) has work experiences as a counseling psychologist and speaker in university for 11 years. Currently occupation is a housewife in USA who keep on learning about childhood trauma and want to communicate to people about mental health problems awareness. 


コメント


facebook album post - square (1).png
1.พวกหลีกเลี่ยงความผูกพัน (2).png
บทความล่าสุด
bottom of page