top of page
GDN 980 x 120 psychiatrist.jpg

7 เทคนิคจิตวิทยา เพิ่ม Performance ให้บุคลากรทำงานอย่างเต็มศักยภาพ




จากรายงานสถานการณ์แรงงานไทย เมื่อเดือนมกราคม 2567 พบว่า กำลังแรงงานในประเทศกำลังลดลง เนื่องจากมีผู้เกษียณมาก แต่ผู้เข้าสู่ระบบแรงงานน้อย นั่นจึงทำให้ต้องมีการเพิ่ม Performance ให้กับบุคลากรที่ยังอยู่ในระบบแรงงาน เนื่องจากผลการวิจัยของ Amazon Web Services (AWS) เมื่อเดือนมีนาคม 2567 พบว่า ในอีก 4 ปีข้างหน้า องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนจะนำ Generative AI มาใช้แทน “คน” ถึง 92% ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ World Economic Forum ที่พบว่าจะมีตำแหน่งสำหรับ AI โดยเฉพาะเกิดขึ้นใหม่ถึง 69 ล้านตำแหน่ง และทำให้ตำแหน่งของ “คน” หายไปกว่า 89 ล้าน


ตำแหน่งเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนค่ะว่าอาชีพนักเขียนอย่างดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น  

แล้วเราต้องทำอย่างไรถึงจะหนีจากการตกชั้นแล้วโดนเจ้า AI มาแย่งงานไปแทนได้ คำตอบจากทฤษฎีจิตวิทยา ก็คือ เราต้องมีการเพิ่ม Performance ให้กับตัวเราเองค่ะ เพื่อให้เราสามารถดึงศักยภาพของเราออกมาใช้ในการทำงานได้อย่าง 100% โดยผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาหลายท่านก็ได้คิดทฤษฎีมาสนับสนุนแนวทางการเพิ่ม Performance ที่น่าสนใจและใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย ดังนี้ค่ะ


1. ทฤษฎีการจูงใจ (Motivation Theory)

Maslow เจ้าพ่อทฤษฎีจิตวิทยาแรงจูงใจ เสนอว่า การที่บุคคลจะสามารถเพิ่ม Performance ในการทำงานได้นั้น เขาต้องได้รับการตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐาน ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย การยอมรับ และได้รับการพัฒนาตนเอง อย่างเหมาะสมและเพียงพอเสียก่อน ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีจิตวิทยา Herzberg's Two - Factor Theory หรือทฤษฎีสองปัจจัยของ Herzberg ที่กล่าวว่า การจะเพิ่ม Performance ให้แก่บุคคลนั้น ต้องเพิ่มปัจจัยที่เป็นแรงกระตุ้น (Motivators) เช่น การได้รับการยอมรับ การได้พัฒนาตนเอง เป็นต้น และลดปัจจัยที่ทำให้ไม่พอใจ (Hygiene Factors) ลงเสียก่อน

2. ทฤษฎีการตั้งเป้าหมาย (Goal Setting Theory)

ตามทฤษฎีของ Locke and Latham เสนอว่า หากองค์กรต้องการจะเพิ่ม Performance ให้แก่บุคลากร องค์กรต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ท้าทาย เฉพาะเจาะจง สามารถทำให้เป็นจริงได้เสียก่อน แล้วบุคลากรจะเกิดแรงจูงใจในการทำงานตามเป้าหมาย

3. ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theory)

ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เหมาะสมต่อการนำมาใช้ในการเพิ่ม Performance ในการทำงาน คือ การเรียนรู้แบบการเสริมแรง (Reinforcement Theory) ได้แก่ การให้รางวัลที่เหมาะสมเมื่อบุคลากรทำงานได้ตามเป้าหมาย รวมถึงเทคนิคจิตวิทยาตามแนวคิดการเรียนรู้แบบการสังเกต (Observational Learning) คือ สนับสนุนให้มีต้นแบบในการปฏิบัติงาน เช่น การให้รางวัลพนักงานดีเด่น การให้รางวัลแก่ทีมที่ทำโครงการประสบความสำเร็จ เป็นต้น เพื่อให้บุคลากรเกิดแรงจูงใจในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

4. ทฤษฎีความสามารถ (Self - Efficacy Theory)

Albert Bandura เจ้าพ่อทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้ทางสังคม กล่าวว่า การที่คนเราจะมี Performance เพิ่มขึ้นได้นั้น ต้องมีความเชื่อในความสามารถของตนเอง (Self - Efficacy) ซึ่งองค์กรสามารถส่งเสริมในส่วนดังกล่าวได้โดยการให้รางวัล สนับสนุนให้บุคลากรเข้ารับการอบรมตรงตามความต้องการ และส่งเสริมบุคคลต้นแบบในองค์กร เป็นต้น

5. ทฤษฎีความยุติธรรม (Equity Theory)

เป็นทฤษฎีของ J. Stacy Adams มีใจความสำคัญว่า บุคลากรในองค์กรจะสามารถเพิ่ม Performance ในการทำงานได้ เมื่อเกิดความรู้สึกว่าเขาได้รับการปฏิบัติในองค์กรอย่างเท่าเทียมกับบุคลากรคนอื่น ๆ แต่ถ้าหากบุคลากรเกิดความรู้สึกไม่เท่าเทียม หรือไม่ยุติธรรม ประสิทธิภาพในการทำงานจะลดลงทันที

6. ทฤษฎีความสามารถในการควบคุมตนเอง (Self – Determination Theory)

Deci and Ryan ได้เสนอทฤษฎีว่า องค์กรสามารถเพิ่ม Performance ให้แก่บุคลากรได้โดย สนับสนุนความสามารถ (Competence) สร้างความรู้สึกความเชื่อมโยงกับองค์กร (Relatedness) และสร้างความรู้สึกเป็นอิสระ (Autonomy) ให้แก่บุคลากร


เมื่อเราพิจารณาทฤษฎีทางจิตวิทยาในการเพิ่ม Performance ในการทำงาน ทั้ง 6 ทฤษฎีข้างต้นแล้ว สามารถนำมาสรุปเป็นเทคนิคในการเพิ่ม Performance ที่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง 7 เทคนิค ดังนี้

1. จัดสรรเวลาให้พอดี

หัวใจสำคัญของการทำงานให้ออกมาดีและมีประสิทธิภาพ ก็คือ การจัดสรรเวลาในการทำงานให้เหมาะสม โดยการจัดลำดับความสำคัญในการทำงาน งานสำคัญที่เร่งด่วนทำก่อนเป็นอันดับแรก แล้วตามมาด้วยงานไม่สำคัญแต่เร่งด่วน งานสำคัญที่ไม่เร่งด่วน และปิดท้ายที่งานไม่สำคัญไม่เร่งด่วน ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมเวลาพักเบรกคลายเครียดระหว่างวันด้วยนะคะ รวมถึงอย่าลืมเวลาพักผ่อนส่วนตัว และแบ่งเวลาให้ครอบครัวด้วยละ เพราะเมื่อเราจัดสรรเวลาดี ความเครียดในชีวิตจะลดลงไปมากเลยทีเดียวค่ะ 


2. พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

การที่เราจะมี Performance ดีได้ ความสามารถเราต้องมี และศักยภาพเราต้องดีก่อน เพราะเมื่อเรามีอาวุธครบครันทั้งความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และจิตใจที่เข้มแข็งแล้ว ประสิทธิภาพในการทำงานเราจะพุ่งทะลุเพดานเลยค่ะ สามารถทำให้องค์กรบรรลุประสิทธิผลแน่นอน


3. ดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรง

ถ้าคุณทุ่มเทในการทำงานมากเท่าไร คุณต้องทุ่มเทในการดูแลตัวเองมากเท่านั้น เพราะไม่ว่าเราจะเป็นคนเก่ง คนดี คนมีคุณภาพในองค์กรขนาดไหน องค์กรอยู่ได้ค่ะถ้าไม่มีเรา ถ้าเราป่วย เราทำงานจนตาย เขาก็แสดงความเสียใจแล้วก็หาคนใหม่มาทำงานแทนเรา แต่ครอบครัวเรา ชีวิตเรา ความฝันเรา มีแต่เราเท่านั้นที่สำคัญ เพราะฉะนั้นนอกจากออกไปทำงานแล้ว ก็อย่าลืมออกไปใช้ชีวิตด้วยนะคะ 


4. จัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม

ไม่ว่าคุณจะสายมู หรือสายไหนก็ตาม การจัดโต๊ะทำงานเป็นสิ่งสำคัญค่ะ ถ้าไม่ยึดหลักโหราศาสตร์ ฮวงจุ้ย ก็ขอให้ยึดหลักสุขอนามัยที่ดี โต๊ะทำงานต้องสะอาด เป็นระเบียบ หยิบจับง่าย อะไรหายก็รู้ทันที แบบนี้แล้วชีวิตในการทำงานจะสะดวกขึ้นมากอย่างน่ามหัศจรรย์เลยค่ะ 


5. หมั่นเติมไฟในการทำงาน

มีคำพูดติดตลก กล่าวว่า “เมื่อมีหนี้ เราจะมีไฟในการทำงาน” ซึ่งนั่นฟังดูขำแต่จริงแท้ทีเดียว เพราะเมื่อคุณมีรายจ่าย ต่อให้คุณไม่รักงาน คุณก็ยังต้องมาทำงาน แต่ถ้าคุณมีไฟ มี Passion ในการทำงาน นอกจากคุณจะขยันมาทำงานแล้ว คุณจะรักงาน และงานของคุณก็จะออกมาดี มีคุณภาพ โดยวิธีเติมไฟง่าย ๆ ก็คือ หาเป้าหมายในการทำงาน เช่น เก็บเงินเกษียณก่อนกำหนด หรือมาเม้ามอยกับเพื่อน หรือการได้เป็นบุคลากรดีเด่น เป็นต้น  หรืออีกวิธี ก็คือ หาต้นแบบในการทำงานค่ะ ถ้าเรามีไอดอล เราก้จะมีแรงฮึดในการทำงาน


6. ฝึกสื่อสารให้ชัดเจน และน่าสนใจ

การสื่อสาร เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำงาน ต่อให้งานของคุณเกิดปัญหา แต่ถ้าคุณมีวาทศิลป์ มีจิตวิทยาการสื่อสารที่ดี คุณก็สามารถขอความช่วยเหลือ และผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ดังนั้นแล้วการฝึกสื่อสารให้ชัดเจน เห็นภาพ และมีวิธีการสื่อสารหรือนำเสนอที่น่าสนใจ ย่อมมีชัยในการติดต่อประสานงานค่ะ


7. บริหารความเครียดให้พอเหมาะ

ไม่มีงานไหนในโลกนี้ที่ไม่มีความเครียด ต่อให้คุณทำงานในสวนสนุก หรือรู้สึกสนุกกับการทำงาน แต่ความเครียดก็มาหาคุณอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นการเรียนรู้วิธีบริหารจัดการความเครียดเอาไว้ ก็ไม่เสียหายค่ะ ซึ่งวิธีที่นิยมกัน ก็มี Relaxation หรือฝึกผ่อนคลาย ทั้งการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือผ่อนคลายโดยใช้จินตนาการช่วย และ Mindfulness หรือการฝึกสติค่ะ


การเพิ่ม Performance ในการทำงาน มีความสำคัญและมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับการเพิ่มประสิทธิผลขององค์กร  ดังนั้นจึงขอฝาก 7 เทคนิคในการเพิ่ม Performance ข้างต้นไว้พิจารณาอีกแนวทางนะคะ


 

iSTRONG Mental Health

ผู้ดูแลสุขภาพใจให้กับบุคคล ครอบครัว และองค์กร


บริการของเรา

สำหรับบุคคลทั่วไป

  • บริการปรึกษา จิตแพทย์และนักจิตวิทยา : http://bit.ly/3lmThUa  

  • คอร์สฝึกอบรมทักษะด้านจิตวิทยา : http://bit.ly/3RQfQwS 

สำหรับองค์กร

โทร. 02-0268949 หรือ Line : @istrong

 

บทความแนะนำ : 


อ้างอิง : 1. สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลสื่อเศรษฐกิจและสังคม. (มกราคม 2567). ภาวการณ์ทำงานของประชากร เดือนมกราคม 2567.  กรุงเทพฯ: กระทรวงดิจิทัลสื่อเศรษฐกิจและสังคม.

2. Chalathip Thirasoonthrakul. (20 เมษายน 2567). วิจัยชี้อาชีพคนไทย 17 ล้านคนจะหายหรือถูกแทนที่ในอีก 6 ปี แต่ถ้าเก่ง AI นายจ้างพร้อมขึ้นเงินให้ 41%. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 17 กรกฎาคม 2567 จาก https://workpointtoday.com/people-workforce-in-future-and-ai-jobs/


 

จันทมา  ช่างสลัก บัณฑิตจิตวิทยาคลินิกจากรั้ว มช. และมหาบัณฑิตจาก NIDA ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูก 1 ผู้เป็นทาสแมว ที่มุ่งมั่นจะพัฒนาการเขียนบทความจิตวิทยาให้โดนใจผู้อ่าน และสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคม ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกบนโลกใบนี้ 


1 Comment


sabrina collins
sabrina collins
5 days ago

The great quality and surprising speed of this write my paper Masterpapers.com made me very happy. They eventually accomplished their goal. The group has more information and experience about the matter than I have. Having personally been using the application since its launch in 2009, I can now see why 25,000 people are happy with it. Using switch toggling is one way to get ongoing help. For anyone in need of professional documentation help, this firm is very suggested.

Like
facebook album post - square (1).png
1.พวกหลีกเลี่ยงความผูกพัน (2).png
บทความล่าสุด
bottom of page